ประกาศจับตัวพี่พริตตี้เกิร์ล ร๊อค หรือ นาย พีธีเกิด ลอกง่ามไม้ จังวัดชัยภูมิ อ.โคกหนอก บ้านเลขที่112 ข้อหาค้าประเวณีข้ามชาติ โดยใช้รถบรรทุกควายทะเบียน 11รด เป็นตัวกลางขนส่งโสเภณีจำนวน 100 คน มุ่งหน้าเข้าสู่ดินแดนแห่งไกลโพ้น
ความผิดฐานค้าประเวณีตามกฎหมายไทย�
�
���������� เมื่อพิจารณาจาก พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี
พ.ศ 2539 ได้กำหนดให้การกระทำที่ถือว่าเป็นความผิดฐานค้าประเวณีอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรก กฎหมายมุ่งเอาผิดต่อผู้ค้าประเวณีที่ทำการ ติดต่อ ชักชวน แนะนำตัว รบเร้า บุคคลตามถนนหรือสาธารณสถาน หรือกระทำการดังกล่าวในที่อื่นใด เพื่อการค้าประเวณีอันเป็นการเปิดเผยและน่าอับอาย หรือเป็นที่เดือดร้อนรำคาญแก่สาธารณชน โดยกำหนดใว้ใน มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ 2539 ว่า
�
มาตรา 5� ��ผู้ใดเข้าติดต่อ ชักชวน แนะนำตัว ติดตาม หรือรบเร้าบุคคลตาม
ถนนหรือสาธารณสถาน หรือกระทำการดังกล่าวในที่อื่นใด เพื่อการค้าประเวณีอันเป็นการเปิดเผยและน่าอับอาย หรือเป็นที่น่ารำคาญแก่สาธารณชน ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
�
ความผิดตามมาตรานี้กฎหมายมีวัตถุประสงค์ เพื่อห้ามค้าประเวณีในสถานที่
อันก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่สังคม เท่านั้น ผู้กระทำความผิดต้องมีเจตนาพิเศษ
กล่าวคือ ผู้กระทำความผิดต้องมีเจตนากระทำการค้าประเวณีในลักษณะที่เป็นการค้าประเวณีอันเป็นที่เปิดเผยและน่าอับอายหรือเดือดร้อนแก่สาธารณชน หากการกระทำ
ดังกล่าว ไม่มีเจตนาพิเศษแล้วย่อมไม่ถือเป็นการค้าประเวณีตามกฎหมาย ดังนั้น
การค้าประเวณีในลักษณะที่ไม่เป็นการเปิดเผยและสร้างความอับอายหรือเดือดร้อน
แก่สาธารณชนแล้วย่อมทำได้ ไม่มีกฎหมายห้าม
�
ส่วนที่สอง กำหนดใว้ในมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ 2539 ว่า
�
� มาตรา 6� �ผู้ใดเข้ามั่วสุมในสถานค้าประเวณีเพื่อประโยชน์ในการค้าประเวณีของตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
�
ความผิดตามมาตรานี้ เป็นการเอาผิดทั้งผู้ค้าประเวณีและผู้ทำการซื้อประเวณี
รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายด้วย กล่าวคือ กฎหมายเอาผิดแก่ผู้ที่ทำการมั่วสุมเพื่อการค้าประเวณีของตนเองหรือของผู้อื่นในสถานค้าประเวณี� มีข้อสังเกตุว่า กฎหมายเขียนในทำนองว่า ถ้าหากกระทำการค้าประเวณีในสถานที่อื่นนอกจากที่กำหนดไว้แล้วย่อมสามารถทำได้ แต่อย่าทำในที่ที่กำหนดใว้ก็แล้วกัน เมื่ออ่านจากกฎหมายแล้วเหมือนกับว่ากฎหมายไทยไม่มีบทบัญญัติเอาผิดกับการกระทำที่ถือว่าเป็นการค้าประเวณี แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น เพราะสถานที่ที่จะเข้าบทยกเว้นตามกฎหมายให้สามารถทำการค้าประเวณีได้� ไม่มีอยู่จริงตามกฎหมาย เนื่องจากเมื่อพิจารณาจาก คำว่า สถานค้าประเวณีตามกฎหมาย ไม่ได้หมายความเพียงแต่สถานที่อันมีใว้เพื่อค้าประเวณีโดยเฉพาะ เช่น ซ่องโสเภณีเท่านั้น แต่กฎหมายยังให้ความหมายรวมไปถึงสถานที่ทั่วไปที่ยอมให้มีการค้าประเวณี หรือใช้ในการติดต่อหรือจัดหาบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ในการค้าประเวณีอีกด้วย อธิเช่น ในโรงแรม 1 ดาว , ร้านทำผม , ร้านอาหาร หรือสถานที่อื่นๆที่บุคคลภายนอกทั่วไปไม่มีทางรู้เลย ว่ามีการค้าประเวณีแอบแฝงอยู่ รู้กันเฉพาะกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เหล่านี้ หากมีการค้าประเวณีเกิดขึ้น แม้ว่าสถานบริการเหล่านั้นแม้มองจากสายตาคนภายนอกจะไม่ได้มีความมุ่งหมายว่าจะเกิดการค้าประเวณีเกิดขึ้นเลยก็อาจมีความผิดตามกฎหมายได้ เพราะฉะนั้น แม้แต่ในที่รโหฐานอันมีลักษณะเฉพาะกลุ่มผู้ใดที่ไม่มีสิทธิเข้าไปย่อมผิดกฎหมายฐาน บุกรุก แต่หากยอมให้มีใว้เพื่อประโยชน์ในการค้าประเวณีก็ถือเป็นความผิดตามกฎหมายเช่นกัน จากกรณีดังกล่าว เสมือนกับว่ากฎหมายห้ามมิให้ค้าประเวณีโดยทางอ้อมนั้นเอง� ดังนั้น จะเห็นได้ว่า แม้การค้าประเวณีในสถานที่ที่ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่สังคมจะไม่ผิดตามมาตรา 5 แห่ง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ 2539 ก็ตาม� แต่การค้าประเวณีในกรณีดังกล่าวก็มีความผิดตามมาตรา 6 ใน แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ 2539 ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่ากฎหมายไทยไม่ได้ยอมรับให้การค้าประเวณีเป็นสิ่งที่ทำได้ โดยกำหนดเอาผิดแก่ บุคคลใดก็ตามที่เข้าไปวงจรของกระบวนการค้าประเวณี ไม่ว่าจะเป็น ผู้ซื้อบริการ ผู้ขายบริการ คนเชียร์แขก แมงดา ผู้ประกอบการค้าประเวณี� ปัญหาที่น่าคิดก็คือว่า เจตนามรณ์ของกฎหมายฉบับนี้ เพียงแค่ต้องการมิให้ทำการค้าประเวณีในสถานที่อันเปิดเผยเท่านั้นหรือไม่
��������� การห้ามการค้าประเวณีในลักษณะนี้ประเทศไทยได้กำหนดใว้ตั้งแต่ครั้นเมื่อออก
พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ 2503 เป็นต้นมา ต่อมาเมื่อมีการแก้ไขใหม่ในปี 2539 ก็ยังคงข้อความเดิมอยู่และขยายให้กินความกว้างไปมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อพิจารณาจากตัวบทกฎหมายแล้ว จะเห็นได้ว่า การค้าประเวณีในไทย ไม่ว่าจะเป็นที่เปิดเผย และไม่เปิดเผยก็ย่อมมีความผิดตามกฎหมาย แม้ว่าจะเป็นเคหะสถานอันเป็นที่รโหฐานมีลักษณะไม่เปิดเผยก็ตาม หากยอมให้มีการค้าประเวณีย่อมมีความผิดตามกฎหมายทั้งสิ้น จากการที่กฎหมายกำหนดในลักษณะเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการห้ามโดยปริยายนั้นเอง เพราะในความเป็นจริงแล้วการค้าประเวณีในลักษณะที่เลี่ยงข้อกฎหมายดังกล่าวได้นั้นไม่มีอยู่จริง แม้แต่ในกรณี การขายบริการทางอินเตอร์เน็ต และทางโทรศัพท์ ซึ่งคนทั่วไปคิดว่าไม่น่าจะผิด เพราะไม่ใช่เป็น สถานที่อันจัดให้มีหรือเพื่อประโยชน์ในการค้าประเวณี ตามมาตรา 6 ก็ตาม หากมีการโฆษณา ชักชวน หรือ แนะนำ เพื่อการค้าประเวณีก็ยังคงมีความผิดตามพรบการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีอยู่ดี แต่เป็นความผิดในมาตรา 7� แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ 2539 ซึ่งอัตราโทษรุนแรงกว่า มาตรา 5 และ 6 ค่อนข้างมาก จะมีก็กรณีของภรรยาน้อย ที่กฎหมายฉบับนี้ไม่ห้าม แต่ การเป็นภรรยาน้อยนั้นไม่น่าจะเป็นการค้าประเวณี เพราะไม่ได้กระทำเพื่อสินจ้าง แม้จะมีการให้สิ่งของแต่เป็นการให้โดยเสน่ห์หามากกว่าที่จะถือว่าเป็นองค์ประกอบของการค้าประเวณี
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
_________________
พิจารณาคดีอย่างเที่ยงตรง ซื่อสัตย์ สุจริต และถือว่าเป็นคำตัดสินสูงสุดของโลก