˹���á Forward Magazine

ตอบ

ไปที่หน้า 1, 2, 3  ถัดไป
~ ๐๐๐ อัพเดทร้อนๆประจำสัปดาห์ =83rd Oscars Special= ๐๐๐ ~
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ ~ ๐๐๐ อัพเดทร้อนๆประจำสัปดาห์ =83rd Oscars Special= ๐๐๐ ~ 






สวัสดีครับ สวัสดีกับวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นเคย
อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็จะถึงงานประกาศผลรางวัล Oscar แล้ว
อัพเดทสัปดาห์นี้เนื้อหาเลยจะเกี่ยวกับ Oscars® Special Reviews

เอาล่ะมาดูมาชมกันดีกว่านะครับ


>>>> รายชื่อผู้ชนะรางวัล Oscars ครั้งที่83 <<<<













รางวัลออสการ์

รางวัล Oscar หรือ Academy Awards เป็นงานแจกรางวัลของอเมริกาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกภาพยนตร์ โดยสถาบันที่มีชื่อว่า The Academy of Motion Picture Arts and Sciences (AMPAS) หรือ ชื่อภาษาไทย สถาบันศิลปะภาพยนตร์และวิทยาการ เป็นรางวัลทางภาพยนตร์ที่ถือกันว่าเป็นสากลและเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1929 การจัดงานปีแรกสุดนี้ จัดที่ Blossom Room โรงแรม Roosevelt ที่ Los Angeles พิธีกรคือ Douglas Fairbanks กับ William C. de Mille

งานมอบรางวัลออสการ์มีการมอบรางวัลในหลายๆสาขา เช่น รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม(Best Actor) ,รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม(Best Actress) ,รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม(Best Picture) เป็นต้น





สำหรับสถานที่จัดงาน หลังจากย้ายไปย้ายมาตามโรงแรมหลายแห่ง ในที่สุด ทางผู้จัดงานตกลงใจปักหลักจัดงานกัน ที่โรงหนัง Grauman's Chinese Theatre ในปี 1944 ก่อนขยับย้ายมายังสถานที่ที่ใหญ่กว่าคือ Shrine Auditorium ปี 1947 ปี 1950-1959 สถาบันเลือกใช้โรงหนัง RKO Pantage Theatre เป็นสถานที่จัดงาน หลังจากนั้นก็ย้ายมาจัดกันที่ Santa Monica Civic Auditorium จนกระทั่งปี 1969 ก็ย้ายไปใช้ที่ Dorothy Chandler Pavilion จนกระทั่งปี 2000

ในช่วงที่จัดงานที่ Dorothy Chandler Pavilion ก็มีการสลับไปจัดงานที่ Shrine Civic Auditorium และ Los Angeles County Music Center บ้างบางครั้ง หลังสุด นับจากปี 2001 เป็นต้นมา งานแจกรางวัลตุ๊กตาทองจัดขึ้นที่ Kodak Theatre





ที่มาของชื่อรางวัลออสการ์

ที่มาของชื่อรางวัลออสการ์นั้น ไม่มีประวัติที่แน่ชัด แต่อย่างไรก็ตามได้มีการสันนิษฐานไว้ดังนี้

- Bette Davis นางเอกดาราภาพยนตร์ได้กล่าวอ้างว่าเธอได้ตั้งชื่อ Oscar ตามชื่อสามีคนแรกของงเธอที่ชื่อ Harmon Oscar Nelson

- อีกข้อสันนิษฐานหนึ่ง มาจากหนึ่งในพนักงานและเลขาฯของผู้บริหารของสถาบันที่ชื่อ Magaret Herrick ผู้ซึ่งได้ชมการมอบรางวัลในปี 1931 และได้เห็นรูปปั้นบนถ้วยรางวัลซึ่งทำให้เธอนึกถึงลุง Oscar ของเธอ ภายในสถาบันก็เลยเรียกกันอย่างนั้น เพราะฟังดูมีตัวมีตน ไม่สูงส่งจนเรียกไม่ถนัดอย่าง Academy Awards ซึ่งชื่อ Oscar นี้ ก็เลยกลายเป็นชื่อที่เรียกกันเองเป็นการภายใน จนกระทั่งปี 1934 Walt Disney ใช้ชื่อ 'Oscar' นี้เรียกรางวัล Academy ในการกล่าวหลังได้รับรางวัล คนทั่วไปจึงเริ่มใช้ตาม จนในที่สุดทางสถาบันเองก็ยอมรับชื่อ 'Oscar' นี้ให้เป็นชื่อเล่นอย่างเป็นทางการของ Academy Awards ในปี 1939




รูปปั้นรางวัลออสการ์

รูปปั้นรางวัลออสการ์มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "Academy Award of Merit" มีลักษณะตัวรางวัลเป็นรูปอัศวิน crusade ถือดาบเอาปลายแหลมลงดิน ยืนอยู่บนล้อฟิล์ม 5 แฉก ซึ่งแต่ละแฉกแทนตัวแทนสมาชิก 5 สาขาหลักคือ นักแสดง เขียนบท กำกับการแสดง อำนวยการสร้าง และด้านเทคนิค





รางวัลที่แจกในปัจจุบันทำจากโลหะประเภท pewter ที่เรียกว่า britannium (ดีบุก 93% พลวง 5% ทองแดง 2% โดยประมาณ) แล้วก็เคลือบทอง ส่วนฐานรางวัลเป็นหินอ่อนสีดำ รางวัลตุ๊กตาทองสูง 13.5 นิ้ว (34 ซ.ม.) หนัก 8.5 ปอนด์ (3.85 ก.ก.) คนออกแบบรางวัลตุ๊กตาทองคือ Cedric Gibbons ผู้กำกับศิลป์ของ Metro-Goldwyn-Mayer มี George Stanley เป็นคนปั้นรูปต้นแบบด้วยดินเหนียว และ Alex Smith เป็นคนหล่อรูปรางวัลโดยใช้โลหะผสมดีบุก 92.5% กับทองแดง 7.5% รายละเอียดหลักของรางวัลไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นฐานรางวัลที่มีการปรับเปลี่ยนบ้างเล็กๆน้อยๆ




สาขารางวัลออสการ์ในปัจจุบัน




ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Picture) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1928 ถึงปัจจุบัน
ผู้กำกับ (Best Director) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1928 ถึงปัจจุบัน
นักแสดงนำฝ่ายชาย (Best Actor) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1928 ถึงปัจจุบัน
นักแสดงนำฝ่ายหญิง (Best Actress) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1928 ถึงปัจจุบัน
นักแสดงสมทบฝ่ายชาย (Best Supporting Actor) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1936 ถึงปัจจุบัน
นักแสดงสมทบฝ่ายหญิง (Best Supporting Actress) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1936 ถึงปัจจุบัน
บทภาพยนตร์ดั้งเดิม (Best Original Screenplay) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1940 ถึงปัจจุบัน
บทภาพยนตร์ดัดแปลง (Best Adapted Screenplay) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1928 ถึงปัจจุบัน
ภาพยนตร์อะนิเมชั่น (Best Animated Feature) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ถึงปัจจุบัน
กำกับศิลป์ (Best Art Direction) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1928 ถึงปัจจุบัน
ถ่ายภาพ (Best Cinematography) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1928 ถึงปัจจุบัน
ออกแบบเครื่องแต่งกาย (Best Costume Design) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 ถึงปัจจุบัน
สารคดีเรื่องยาว (Best Documentary Feature)
สารคดีเรื่องสั้น (Best Documentary Short Subject)
ตัดต่อ (Best Film Editing) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 ถึงปัจจุบัน
ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศ (Best Foreign Language Film) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947 ถึงปัจจุบัน
แต่งหน้า (Best Makeup) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 ถึงปัจจุบัน
เพลงประกอบ (Best Original Song) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1934 ถึงปัจจุบัน
ดนตรีประกอบ (Best Original Score) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1934 ถึงปัจจุบัน
ภาพยนตร์สั้นการ์ตูน (อะนิเมชั่น) (Best Animated Short Film) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1931 ถึงปัจจุบัน
ภาพยนตร์สั้นเหตุการณ์ (ไลฟ์แอ๊กชั่น) (Best Live Action Short Film) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1931 ถึงปัจจุบัน เสียง (Best Sound Mixing) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 ถึงปัจจุบัน
ตัดต่อเสียง (Best Sound Editing) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 ถึงปัจจุบัน
เอฟเฟ็กต์ภาพ (Best Visual Effects) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1939 ถึงปัจจุบัน





รางวัลพิเศษ
รางวัลเกียรติยศ (Academy Honorary Award) มอบแด่ผู้มีผลงานดีเด่นในวงการ – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ.1928 ถึงปัจจุบัน
รางวัลความสำเร็จเกียรติยศ (Academy Special Achievement Award) มอบแด่ผู้มีผลงานดีเด่นในวงการ
รางวัลความสำเร็จทางเทคนิค และ วิทยาศาสตร์ (Academy Award, Scientific or Technical) – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ.1931 ถึงปัจจุบัน
รางวัลเอิร์ฟวิง จี. ธัลเบิร์ก (The Irving G. Thalberg Memorial Award) สำหรับผู้อำนวยการสร้างดีเด่น – มีการมอบรางวัลตั้งแต่ปี ค.ศ.1938 ถึงปัจจุบัน
รางวัลมนุษยธรรม ฌีน เฮอร์โชลต์ (The Jean Hersholt Humanitarian Award)สำหรับผู้ทำงานด้านมนุษยธรรม
รางวัลกอร์ดอน อี ซอว์เยอร์ (Gordon E. Sawyer Award)
















Who Will Win





Best Actor




- Javier Bardem

Movie: Biutiful
Previous Nominations: Before Night Falls (2000), No Country for Old Men (2007 – Won)

นักแสดงชาวสเปนวัย 41 สามี Pen?lope Cruz เข้าชิงออสการ์ ครั้งแรกจากบทนักกวีเกย์ในสาขานำชายเรื่อง Before Night Falls (2000) และชนะสมทบชายจากบทมือปืนผมบ็อบใน No Country for Old Men (2007)





- Jeff Bridges

Movie: True Grit
Previous Nominations: The Last Picture Show (1971), Thunderbolt and Lightfoot (1974), Starman (1984), The Contender (2000), Crazy Heart (2009 – Won)

วัย 61 เข้าชิงออสการ์สมทบชายมาแล้ว3ครั้งจาก The Last Picture Show (1971), Thunderbolt and Lightfoot (1974), The Contender (2000)
นำชาย2ครั้งจาก Starman (1984) และ Crazy Heart ที่เพิ่งชนะเมื่อปีที่แล้ว





- Jesse Eisenberg

Movie: the social network
Previous Nominations: First time nominee

วัย 27 เพิ่งเข้าชิงออสการ์ครั้งแรก โดยมี The Squid and the Whale (2005), Adventureland และ Zombieland ปี2009 เป็นผลงานสร้างชื่อ





- Colin Firth

Movie: The King’s Speech
Previous Nominations: A Single Man (2009)

นักแสดงอังกฤษ วัย 50 เข้าชิงออสการ์ ครั้งแรกสาขานำชายปีที่แล้วจากบทอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เพิ่งสูญเสียชายคนรักใน A Single Man





- James Franco

Movie: 127 Hours
Previous Nominations: First time nominee

วัย 32 เข้าชิงออสการ์ครั้งแรก สร้างชื่อจากบท James Dean ทางทีวี ก่อนโด่งดังจากหนัง Spider-Man Trilogy, Pineapple Express และ Milk ในปี2008


Top 10 Best Actor Oscar Winners














Best Actress



- Annette Bening

Movie: The Kids Are All Right
Previous Nominations: The Grifters (1990), (American Beauty (1999), Being Julia (2004)

วัย 52 ภรรยาปู่ Warren Beatty เข้าชิงออสการ์ครั้งแรกสาขาสมทบจาก The Grifters (1990) และแพ้ในสาขานำหญิงให้ Hilary Swank ครั้งเข้าชิงจาก American Beauty (1999) และ
Being Julia (2004) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานสมาชิกฝ่ายนักแสดงของออสการ์





- Nicole Kidman

Movie: Rabbit Hole
Previous Nominations: Moulin Rouge (2001), The Hours (2002 – Won)

นักแสดงออสซี่วัย43 ภรรยานักร้องคันทรี Keith Urban เข้าชิงออสการ์ครั้งแรกหลังหย่ากับ Tom Cruise ในสาขานำหญิงจาก Moulin Rouge! (2001) และชนะจาก The Hours ปีถัดมา





- Jennifer Lawrence

Movie: Winter’s Bone
Previous Nominations: First time nominee

วัย 20 เพิ่งเข้าชิง ออสการ์ครั้งแรก โดยมี The Burning Plain (2008) เป็นผลงานเด่นตามเทศกาลหนังทั่วโลก





- Natalie Portman

Movie: Black Swan
Previous Nominations: Closer (2005)

วัย 29 เข้าชิงออสการ์ครั้งแรกสาขาสมทบจาก Closer (2004) แต่แพ้ Cate Blanchett จาก The Aviator เฉียดฉิว





- Michelle Williams

Movie: Blue Valentine
Previous Nominations: Brokeback Mountain (2005)

วัย 30 เข้าชิงออสการ์ ครั้งแรกสาขาสมทบจาก Brokeback Mountain (2005) ซึ่งพบรักในกองถ่ายกับ Heath Ledger...




Top 10 Best Actress Oscar Winners















Best Sup Actor



- Christian Bale

Movie: The Fighter
Previous Nominations: First time nominee

วัย 37 เพิ่งเข้าชิงออสการ์ครั้งแรก เป็นนักแสดง อังกฤษแต่กลับโด่งดังจาก American Psycho (2000) และ Batman สองภาคล่าสุด เพราะโชคดีได้รับบทนำแจ้งเกิดแต่เด็กใน Empire of the Sun (1987) ของ Steven Spielberg แท้ๆ





- John Hawkes

Movie: Winter’s Bone
Previous Nominations: First time nominee

วัย 51 เข้าชิงออสการ์ ครั้งแรก เล่นหนังอินดี้และทีวีเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็พอคุ้นหน้าตา






- Jeremy Renner

Movie: The Town
Previous Nominations: The Hurt Locker (2009)

วัย 40 เพิ่งจะเข้าชิงออสการ์ครั้งแรกสาขานำชายไปเมื่อปีที่แล้วจาก The Hurt Locker





- Mark Ruffalo

Movie: The Kids Are All Right
Previous Nominations: First time nominee

วัย 43 เข้าชิงออสการ์ ครั้งแรก ผลงานเด่น คือ You Can Count on Me (2000), Zodiac (2007) และ Shutter Island





- Geoffrey Rush

Movie: The King’s Speech
Previous Nominations: Shine (1996 – Won), Shakespeare In Love (1998), Quills (2000)

นักแสดงออสซี่วัย 59 เข้าชิงและชนะออสการ์ครั้งแรกสาขานำชายจาก Shine (1996) ตามด้วยชิงสมทบจาก Shakespeare in Love (1998) และนำชายจาก Quills (2000)





Top 10 Best Actor Oscar Winners














Best Sup Actress



- Amy Adams

Movie: The Fighter
Previous Nominations: Junebug (2005), Doubt (2008)

วัย 36 เข้าชิงออสการ์สมทบหญิงเป็นครั้งที่3ต่อจาก Junebug (2005) และ Doubt (2008)





- Helena Bonham Carter

Movie: The King’s Speech
Previous Nominations: The Wings of the Dove (1997)

นักแสดงอังกฤษ วัย 44 เข้าชิงออสการ์ ครั้งแรกสาขานำหญิงจาก The Wings of the Dove (1997) ก่อนค้นพบตัวตนกับโซลเมท Tim Burton





- Melissa Leo

Movie: The Fighter
Previous Nominations: Frozen River (2008)

วัย 50 เข้าชิงออสการ์ครั้งแรกสาขานำหญิงจาก Frozen River (2008)





- Hailee Steinfeld

Movie: True Grit
Previous Nominations: First time nominee

หนูไหวัย14 เพิ่งเข้าชิงออสการ์จากผลงานการแสดงชิ้นแรกในชีวิต ขอให้ดีตลอดๆ





- Jackie Weaver

Movie: Animal Kingdom
Previous Nominations: First time nominee

นักแสดงออสซี่วัย 63 เข้าชิงออสการ์ครั้งแรก ดังในบ้านเกิด จึงไม่คุ้นป้าหน้าแปลกกันเท่าไหร่นัก







Best Director




- Darren Aronofsky (Black Swan)
วัย42อดีตสามี Rachel Weisz
เพิ่งเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรก หลังสร้างผลงานโดดเด่นอย่าง Pi (1998), Requiem for a Dream (2000) และ The Wrestler (2008) รวมถึงการร่วมโปรดิวซ์ The Fighter ด้วย ทั้งยังเคยได้รับเลือกให้กำกับ Batman Begins ก่อนโนแลน โปรเจกต์ต่อไปคือ The Wolverine (2012)





- David O. Russell (The Fighter) วัย52
เข้าชิงออสการ์ครั้งแรก ผลงานเด่นคือ Three Kings (1999) และมักมีข่าวทะเลาะกับนักแสดงในกองถ่ายเสมอเช่นกรณี George Clooney เป็นเหตุให้ไม่รุ่งซะที จน Christian Bale ดึงมากำกับ Fighter ซึ่งจะว่าไปแล้ว2คนนี้ก็มีนิสัยแรงพอๆกัน





- Tom Hooper (The King's Speech)
ผู้กำกับอังกฤษวัย38 เข้าชิงออสการ์ครั้งแรก ผลงานเด่นทาง ทีวีคือมินิซีรีส์ Elizabeth I (2005) และ John Adams (2008) โดย King's Speech เพิ่งเป็นหนังจอใหญ่เรื่องที่3ในเครดิต





- David Fincher (The Social Network) วัย48
เข้าชิงออสการ์ครั้งแรกจาก The Curious Case of Benjamin Button (2008) โปรเจกต์ต่อไปคือ The Girl with the Dragon Tattoo ปีนี้





- Joel & Ethan Coen (True Grit)
โจลอายุ56 เป็นสามีของ Frances McDormand ส่วนอีธานอายุ53 ทั้งคู่เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่13! แต่ครั้งที่3ในฐานะผกก.สำหรับโจล (อีธาน2)












โชว์สาขาเพลงออสการ์ ต้นฉบับมาหมด ยกเว้น Dido ออสการ์ให้ Florence + The Machine โชว์แทนอ่ะ "If I Rise" จาก127 Hours













รีวิวส่วนนี้มาจากเพื่อนผมนะครับ เค้ารีวิวให้ผมอ่านก็เลย เอามาให้เพื่อนๆได้อ่านกันด้วย
Thanks : Nox_leon


Blue Valentine (2010) "วัฏจักรแห่งรัก"





ผลงานเรื่องที่ 2 ของ Derek Cianfrance ซึ่งห่างจากเรื่องแรกถึง 12 ปี! ถือเป็นการกลับมาอย่างประสบความสำเร็จทั้งหน้าที่ผู้กำกับและเขียนบท ซึ่งสามารถคุมหนังได้อยู่หมัด และออกมาสมจริงอย่างที่บทต้องการ...แน่ล่ะ ก็เขียนบทเองนิ

หนังเล่าเรื่องชีวิตคู่ตั้งแต่การเริ่มต้นจนถึงจุดจบอย่างเข้าใจและเข้าถึง ผ่านการนำเสนอที่ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนกับกำลังติดตามชมรายการเรียลิตี้โชว์ยังไงยังงั้น และที่ต้องชมผู้กำกับเป็นพิเศษคือการที่เลือกใช้วิธีตัดสลับเหตุการณ์อดีต-ปัจจุบัน มันช่วยผ่อนคลายอารมณ์กดดันหดหู่ของหนังได้ดีมากๆ ทั้งยังเป็นการสื่อถึงนิยาม "แรกรัก น้ำต้มผักยังว่าหวาน แต่พอนาน น้ำตาลยังว่าขม" ไ้ด้อย่างชัดเจน เรียกว่าถึงจะเป็นหนังอาร์ต แต่ก็ถ่ายทอดเรื่องราวธรรมดาสามัญที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคนแบบที่ไม่ต้องปีนบันไดดูให้ปวดหัวเลย





ในด้านการแสดงของเรื่องนี้ก็ถีอเป็นส่วนสำคัญมากๆที่จะตรึงคนดูให้ติดตามต่อไปจนจบ แม้จะเป็นหนังของคนเพียง 2 คนก็ตาม ซึ่งทั้ง Ryan Gosling และ Michelle Williams ต่างก็ให้การแสดงอันยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน (มิเชลล์อาจจะเหนือกว่านิดหน่อยเพราะบทส่งให้เธอมากกว่า) และมีเคมีที่เข้ากันมากๆราวกับพวกเขาเป็นตัวละครนั้นจริงๆ

ทั้งคู่เป็นตัวแทนของคนรักที่มีทั้งความเหมือนและแตกต่างกันเช่นเดียวกับคู่อื่นๆ และความเหมือนนั่นเองที่ทำให้เกิดความรักจนตัดสินใจตกลงใช้ชีวิตร่วมกัน โดยความแตกต่างได้เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในภายหลัง ร่วมกับวุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ทัศนคติของคนเราเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับความอดทนที่เป็นตัวเชื่อม (bond) ความสัมพันธ์ว่าจะมั่นคงแข็งแรงเพียงใด ในเมื่อความสเน่หาและความใกล้ชิดลดน้อยลงไปทุกที



- Ryan Gosling ปรากฏตัวในฉากแรกทำเอาตกใจในความหล่อ...ที่มันหายไปไหนหมด! กับบุคลิกที่ไม่ชวนให้รักและเอาใจช่วยตัวละครนี้เอาซะเลย แตกต่างกับฉากตอนหนุ่มสุดขั้ว มีเพียงความรักต่อภรรยาเท่านั้นที่ยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความรักอย่างเดียวมันเพียงพอแล้วหรือสำหรับชีวิตคู่??

ไรอันให้การแสดงที่ดีเยี่ยมอย่างที่บอก ทำให้คนดูเข้าใจความรู้สึกของนางเอกได้ดีทีเดียวว่าทำไมถึงรักและหมดรัก แต่ก็แอบหลุดอารมณ์โอเวอร์นิดหน่อยในฉากพีคช่วงท้ายๆ เข้าใจว่าฉากนั้นควบคุมได้ยากจริงๆแหละ

อ้อ...ไรอันร้องเพลงเพราะไม่เสียชื่อศิษย์เก่า Mickey Mouse Club รุ่น Justin+Britney+Christina จริงๆ ^^



- Michelle Williams ตัวละครของเธอเติบโตในครอบครัวที่ไม่มีความสุข เป็นผลให้ต่อหน้าพ่อแม่แม้จะอยู่ในกรอบและเรียนดี แต่ลับหลังกลับใจแตก...มาก จนแต่งงานกับพระเอกถึงได้โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่นั่นแหละคือสาเหตุของปัญหาชีวิตคู่ เราเข้าข้างตัวละครของเธอมากกว่า ซึ่งอาจจะคิดต่างกันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนด้วย เพราะบางคนอาจเห็นใจพระเอกมากกว่าก็เป็นได้

มิเชลล์พัฒนาและเปลี่ยนแปลงตัวเองตามวัยของแคแรกเตอร์ได้ดีไร้ที่ติ และให้การแสดงที่พอดีไม่ขาดไม่เกิน เธอเกิดมาเพื่อบทนี้จริงๆ แต่เราก็ยังประทับใจการแสดงของเธอใน Brokeback Mountain (2005) กับอารมณ์แบบบีบหัวใจนั้นมากกว่านะ





องค์ประกอบอื่นๆทำออกมาได้ดีตามสไตล์หนังอินดี้อาร์ตเฮาส์ทั้งหลาย โดยเฉพาะเครดิตจบสวยมากๆ

ส่วนฉากรักที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กับเรท NC-17 นั้นก็แรงอยู่ แต่ก็ไม่โฉ่งฉ่างถึงขนาดจะต้องได้เรทนี้เลย เปลี่ยนเป็นเรท R ก็เหมาะสมดีแล้ว เพราะคนที่คาดหวังกับฉากนี้จะได้ไม่ต้องเสียใจ xx


หนังเดินเรื่องน่าติดตาม ไม่ค่อยน่าเบื่อ แต่อาจจะต้องอดทนดูหน่อย เราให้ 7.5/10 ครับ














The Fighter (2010) "สู้ได้ ถ้าใจพร้อม"






หนังเรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในสายตาเราเลย แม้ว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากนักวิจารณ์มากแค่ไหนก็ตาม

มันเป็นความอคติส่วนตัวที่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเิกิดจากสาเหตุอะไร

และถ้าหนังไม่ได้รางวัลมากมายมาก่อน ก็คงไม่คิดจะไปดูแน่นอน!!


ฝีมือผู้กำกับ David O. Russell ออกแนวดิบๆ เรียลิสติกคล้ายสารคดีตามติดชีวิตกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ส่วนตัวคิดว่าไม่ได้ยอดเยี่ยมหรือโดดเด่นถึงขนาดควรได้เข้าชิงออสการ์ แต่ก็นะ...Christopher Nolan (Inception) เลยชวดไปอีกปีแบบน่าเสียดายมากๆ

อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าลุ้นสุดๆกับทุกฉากการต่อสู้บนสังเวียน เหมือนได้ไปนั่งอยู่ติดขอบเวทีเลย และความสามารถในการคุมนักแสดงของเขาก็ทำได้ดีมาก ทำให้คนดูสัมผัสทุกห้วงอารมณ์ของตัวละครที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้




และสำหรับเนื้อเรื่องหรือบทนั้นไม่มีอะไรใหม่ให้เห็นว่าแตกต่างจากหนังแนวนี้เลย ก็เข้าใจว่าดัดแปลงจากเรื่องจริงเลยเพิ่มเติมอะไรมากไม่ได้ แต่บทแบบนี้สมควรได้เข้าชิงออสการ์แล้วหรือ?? แถมมีบางซีนที่ดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลด้วยซ้ำ


จากที่กล่าวมาเหมือนเราจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้เอาซะเลย แต่จริงๆแล้วชอบนะ เพราะเหล่านักแสดงช่วยกู้หน้าหนังได้มากจริงๆ




- Mark Wahlberg ให้การแสดงระดับมาตรฐาน หรืออาจจะต่ำกว่า เมื่อพิจารณาว่าบทของเขาเป็นบทนำ! ไม่ต้องใช้ทักษะมากเท่าไหร่ เล่นเป็นตัวเองเลยแหละ ทำให้นึกถึงเรื่อง Boogie Nights (1997) ที่แจ้งเกิด Marky Mark ในฐานะนักแสดงเต็มตัว




- Christian Bale เป็นนักแสดงประเภท Method Acting คือจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นไปตามบทที่ได้รับเกือบ 100% แต่ก็ไม่เคยเข้าตากรรมการเวทีรางวัลเหมือนคนอื่นๆ แล้วไปประสบความสำเร็จจริงจังกับหนังตลาดอย่าง Batman แทน

และนี่เป็นครั้งที่ 3 ที่เขาลดน้ำหนักเพื่อบทไปเกือบ 20 กิโลฯ!! (ซึ่งยังน้อยกว่า 2 ครั้งก่อนนะ เพราะเดี๋ยวไม่มีแรงชกมวย)

การแสดงของเบลในเรื่องนี้พยายามขโมยซีนทุกฉาก จึงรู้สึกแปลกๆ ไม่ค่อยชอบในตอนแรก แต่พอได้เห็น Dicky Eklund ตัวจริงโผล่มาช่วงเครดิตจบแล้วมันใช่เลย เบลแสดงเหมือนมากๆ ไม่ได้พยายามเด่นเองอย่างที่คิด ยอดเยี่ยม!!!~




- Amy Adams ที่มักจะได้รับบทใสซื่อบริสุทธิ์ก็สามารถพลิกมาเล่นบทแรงๆได้ดี และด้วยความสามารถพื้นฐานทางการแสดงแน่นอยู่แล้ว จึงช่วยเพิ่มมิติให้ตัวละครมากขึ้น โดยเฉพาะฉากหลังจากที่ Micky Eklund ชนะไฟต์สำคัญครั้งแรก สีหน้า แววตาเธอ สุดๆอะ เป๊ะจริงอะไรจริง ขอยกให้เป็นการแสดงที่ดีที่สุดในเรื่องเลยครับ ^^




- Melissa Leo ส่วนตัวคิดว่าป้าแสดงได้ดีตามบทที่ได้รับมาไม่มีขาดตกบกพร่อง แต่ไม่รู้สึกว่าเยี่ยมพอจะเป็นเจ้าของออสการ์สมทบหญิงปีนี้ แต่ถ้าชนะก็ไม่น่าเกลียด ถือเป็น Lifetime Achievement ไปแล้วกัน



ถึงหลายอย่างใน The Fighter จะดูธรรมดาๆ แต่ตลอดเวลาที่นั่งดูอยู่นั้นกลับรู้สึกถึงอารมณ์จากตัวละครที่ถาโถมเข้ามา ทำให้อัดอั้น และคุกรุ่นในอก นับว่าเป็นความรู้สึกที่หาไม่ได้ง่ายๆในหนังเรื่องไหนเลยครับ



เราให้ 7.9/10 คะแนน













Biutiful (2010) "พรุ่งนี้ต้องดีกว่า"





หนังเรื่องที่ 4 ของผู้กำกับ Alejandro González Iñárritu จากหนังกึ่งไตรภาค Amores Perros (2000), 21 Grams (2003) และ Babel (2006) ซึ่งครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ลงมือเขียนบทเองด้วย หลังแตกหักกับมือเขียนบทเพื่อนซี้ที่เคยทำงานร่วมกันมาตลอด แต่ถึงอย่างไร Biutiful ก็ยังคงสไตล์คล้ายๆเดิม คือ เล่าเรื่องหลายเหตุการณ์ที่มีส่วนสอดคล้องสัมพันธ์กันเป็นลูกโซ่ประมาณทฤษฎี "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงจันทร์" หากจะต่างจากผลงานก่อนๆก็ตรงที่มีแคแรกเตอร์ศูนย์กลางเพียงคนเดียว การตัดต่อจึงไม่ซับซ้อนแต่ยังคงมีลูกเล่นให้คนดูสับสนอยู่พอประมาณ การกำกับยังคงดิบมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง งานภาพ แสง สี สวยเช่นเดิม



แต่ข้อเสียของหนังเรื่องนี้คือเนื้อเรื่องที่ไม่มีประเด็นชัดเจน แม้จะโฟกัสไปที่ตัวละครเดียวแล้วก็ตาม ไม่สามารถรักษาคอนเซ็ปต์ได้เหมือนผลงานเดิมที่แม้จะหลากหลายเหตุการณ์ แต่ก็มีจุดร่วมเดียวกัน โดย Biutiful ดูมีหลายอย่างที่อยากจะเล่ามากมาย ทั้งเรื่องความตาย บาปบุญคุณโทษ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูก ครอบครัว ปัญหาทางสังคม คนต่างด้าว การคอรัปชั่น การติดต่อกับวิญญาณ งานผิดกฎหมายทั้งหลาย และอื่นๆที่เราดูแล้วไม่สามารถจับประเด็นได้เลยว่าหนังต้องการสื่ออะไร



อีกเรื่องหนึ่งที่ดูไปก็ขัดใจมากๆคือ ดนตรี ที่โฉ่งฉ่างและกระหน่ำเข้ามาเกินเหตุในหลายฉาก นึกในใจว่าสงสัยจะไม่ได้ใช้บริการ Gustavo Santaolalla เจ้าของงานดนตรีที่ไพเราะนุ่มลึกบาดอารมณ์อย่างใน Babel หรือ Brokeback Mountain (2005) ถึงขนาดรอดูเครดิตภาษาสเปนว่าใครนะใครเป็นผู้ประพันธ์ แต่กลับกลายเป็นว่านี่เป็นฝีมือกุสตาโวนั่นเอง...น่าผิดหวังมากๆ



ถึงจะมีข้อเสียในความเห็นส่วนตัวของเรามากมาย โชคยังดีที่มีการแสดงของ Javier Bardem ช่วยชีวิตหนังไว้ได้ทัน บทนี้อาจจะเป็นบทที่นิ่งไม่ค่อยได้ปล่อยพลังอะไรเท่าไหร่นัก แต่ก็เป็นแบบน้ำนิ่งไหลลึก สัมผัสได้ถึงอารมณ์เต็มเปี่ยมที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน รอเวลาระเบิด


สรุปว่า Biutiful อาจจะไม่ค่อยมีอะไรให้จดจำมากนัก แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าที่ได้ดู

เราให้ 6.8/10 ครับ











The King's Speech (2010) "แรงบันดาลใจ มิอาจเกิดขึ้นได้หากขาด กำลังใจ"





หนังอังกฤษเล็กๆที่ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล่ารางวัลโดยเฉพาะเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่จะเข้าชิงออสการ์สูงสุดของปี แต่ยังทำรายรับได้ดีมากในตลาดอเมริกาอีกด้วย เหตุผลส่วนหนึ่งน่าจะมาจากผู้กำกับที่คนดูสามารถไว้ใจได้อย่าง Tom Hooper ซึ่งเป็นที่ยอมรับในแวดวงทีวี จากมินิซีรีส์ย้อนยุคทั้ง Elizabeth I (2005), Longford (2006) และ John Adams (2008)

และสำหรับ The King's Speech ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าหนังจอเงินหรือจอแก้ว ขอให้เป็นแนวประวัติศาสตร์เถอะ จึงต้องรอดูกันต่อไปว่าเขาจะยังรักษามาตรฐานได้ดีในหนังแนวอื่นๆหรือไม่





The King's Speech เล่าเรื่องพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชบิดาในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งราชวงศ์อังกฤษ กับการบำบัดรักษาอาการพูดติดอ่างโดยผู้เชี่ยวชาญ(จากประสบการณ์)ชาวออสเตรเลีย ก่อนการขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐา (King Edward VIII) ซึ่งสละราชสมบัติไปสมรสกับหญิงที่ผ่านการหย่า เป็นการผิดกฎมณเฑียรบาล ในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังก่อตัวขึ้นในยุโรป ดังนั้นการพูดจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ราษฎร....




- Colin Firth รับบทเจ้าชายติดอ่างได้ดี แต่เหมือนเป็นอาการพูดติดขัดหรือพูดไม่ออกแบบ stammer มากกว่า stutter ที่เราคุ้นกัน นอกนั้นก็ไม่มีอะไรให้ติแล้วในเรื่องของการแสดง
พอดีได้ดู One Flew Over the Cuckoo's Nest (1975) แล้วชอบบท Billy Bibbit ของ Brad Dourif มาก ...นี่สิติดอ่างของแท้




- Helena Bonham Carter ในบทควีนเอลิซาเบธ (ควีนมัม) ทำหน้าที่เป็นแบ็คเสริมแคแรกเตอร์ผู้ชายในเรื่องได้ดี ดูเป็นผู้เป็นคนปกติ แต่ถ้าจะว่ากันจริงๆแล้วเรายังชอบบท Red Queen ใน Alice in Wonderland มากกว่า ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ออสการ์จะให้เธอเข้าชิงจากบทนี้อ่ะเนอะ 55+




- Geoffrey Rush ทำหน้าที่ผ่อนคลายอารมณ์หนัง และขับเคลื่อนการแสดงของโคลินให้โดดเด่นมากขึ้น ด้วยลักษณะของนักบำบัดที่เข้าใจผู้รับการรักษา จะเรียกว่าเป็นบทนำร่วมกันเลยยังได้



โดยการแสดงในเรื่องนี้แม้จะให้ความสำคัญกับแคแรกเตอร์ดังกล่าวเป็นหลัก บทสมทบอื่นๆอาจจะไม่ค่อยมีอะไรให้เล่นเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็ออกมาดูมีสมดุลกันดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เช่นเดียวกับงานด้านอื่นๆที่ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะไม่อลังการงานสร้าง แต่ก็ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ได้ด้วยเนื้อหาที่ถ่ายทอดออกมาอย่างเรียบง่าย


หนังแสดงให้เห็นถึงการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเห็นได้จากการนำเสนอที่ปล่อยให้คนดูได้ทำความรู้จักกับตัวละครไปพร้อมๆกับแคแรกเตอร์ทั้งสอง รวมถึงการส่งต่อแรงบันดาลใจในการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จ จากการเอาชนะปมด้อยของตัวกษัตริย์เอง จนถึงการควบคุมสติของประชาชนท่ามกลางสถานการณ์เลวร้าย โดยแรงดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดกำลังใจจากคนรอบข้างเป็นเครื่องผลักดัน



หนังอาจจะเดินเรื่องแบบเรื่อยๆ แต่ก็แทรกอารมณ์ขันอยู่ตลอด ไม่เครียด ไม่ค่อยรู้สึกง่วง และถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงนั้นนิดหน่อย น่าจะดูสนุกมากขึ้น จะได้รู้ว่าใครเป็นใครไง ถึงจะออกมาคนละนิดละหน่อยก็เหอะ



เราให้ 7.9/10 ครับ









เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับรางวัลออสการ์ เรียงลำดับจาก A ถึง Z





ตอนที่ Academy of Motion Picture Arts and Sciences เริ่มแจกรางวัล Academy Awards หรือ Oscar เป็นครั้งแรก เมื่อ16 พฤษภาคม ปี 1929 ไม่เคยมีใครคาดในว่า งานนี้จะเติบโตกลายเป็นงานใหญ่สุดในโลกภาพยนต์ ที่มีคนหลายล้านทั่วโลกรอชม

การประกาศรางวัลครั้งล่าสุด คือครั้งที่ 83 ใกล้เข้ามาแล้ว คือคืนวันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ตามเวลาท้องถิ่นที่นครลอส แองเจลีส ซึ่งตรงกับเช้าวันจันทร์ตามเวลาบ้านเรา เลยนำเกร็ดน่ารู้แบบเรียงลำดับจาก A ถึง Z มาเล่าสู่กันฟัง

เริ่มด้วยตัว A คือ ACADEMY ตัวสถาบันซึ่งเป็นผู้จัดงาน




ก่อตั้งเป็นองค์กรไม่แสวงกำไร เมื่อปี 1927 โดยตอนแรกมีสมาชิกเป็นโปรดิวเซอร์และผู้ผลิตหนัง 36 คน ภายใต้การนำของ ประธาน MGM studio คือ Louis B Mayer สมาชิกรุ่นก่อตั้งรวมทั้งดาราดังอย่างพระเอกและนางเอกหนังรุ่นเก๋า Douglas Fairbanks กับ Mary Pickford และตลกแว่นตาโต Harold Lloyd (ในภาพบน)ปัจจุบัน สมาชิกซึ่งก็คือกรรมการตัดสินขยายตัวเป็นกว่า 6,000 คน ซึ่งหนึ่งในสี่เป็นดารา



BLEACHERS ที่นั่งพิเศษสำหรับผู้เช้าชมงาน




แฟนหนังผู้ที่คลั่งไคล้อยากได้เห็นเหล่าดาราอย่างใกล้ชิด จะทำได้ด้วยการได้ที่นั่งที่จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษ ที่ด้านนอกสถานที่จัดงาน แต่ต้องลงทะเบียนจองล่วงหน้าไว้อย่างน้อย 6 เดือน สมัยก่อนเคยมีแฟนๆไปตั้งแคมป์รอเฝ้าตั้งแต่กลางคืน แต่ถูกสั่งห้ามตั้งแต่เกิดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ผู้ที่ได้ลงทะเบียนไว้ จะถูกสุ่มเลือกผู้โชคดี 500 คน ซึ่งได้รับแจ้งให้ไปที่งานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าของคืนที่มีงาน หรือ 10 ชั่วโมงก่อนเริ่มงาน





CAMPAIGNS การรณรงค์ของบรรดาเจ้าของหนัง




ในทุกปี บรรดาค่ายหนังต่างๆจะโหมรณรงค์ เชิญชวนให้สมาชิกของ Academy ลงคะแนนเสนอชื่อหนังของค่ายตน และพากันส่ง ดีวีดี กับอุปกรณ์โปรโมชั่น รวมทั้งของขวัญให้บรรดาผู้มีสิทธิ์ลงคะแนน จนต้องมีการออกกำข้อบังคับให้เข็มงวดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ หลังมีข้อกล่าวเรื่องการลอบบี้แบบเกินงาม





DRAMAS เป็นเวทีของหนังสไตล์ดราม่า




มากกว่าหนึ่งในสามของหนัง 82 เรื่องที่เคยคว้ารางวัลภาพยนต์ยอดเยี่ยม หรือ Best Picture Award ของ Oscar เป็นหนังสไตล์ dramas ทำให้ง่ายที่จะชนะใจผู้มีสิทธิออกเสียง รองลงมาคือหนังชีวประวัติ หรือ Biopics ตามมาด้วยมหากาพย์ต่างๆ รวมทั้งหนังตลกและหนังเพลง เคยมีหนังสไตล์เวสเทิร์นเพียง 3เรื่องที่เคยคว้ารางวัลนี้ รวมทั้ง Dances with Wolves และ Unforgiven





ENVELOPE ซองจดหมาย



ภาพคุ้นตาเราในงานออสการ์ คือ พิธีการรับเชิญเป็นผู้เปิดซองเพื่อประกาศรายชื่อผู้คว้ารางวัลแต่ไม่ได้ทำแบบนี้มาแต่เริ่มแรก ในช่วง 10 ปีแรกของการแจกรางวัล ผู้จัดงานจะแจ้งให้สื่อมวลชนรู้ล่วงหน้าว่าใครชนะ เพื่อให้ทันเวลาปิดหน้าหนึ่งของข่าวหนังสือพิมพ์ แต่หลังจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งปากโป้ง ในปี 1939 ก็มีการตัดสินใจปิดผลคะแนนเป็นความลับอย่างมิดชิด





FASHION แฟชั่นคือสิ่งที่ออสการ์ขาดไม่ได้








ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีชุดมากมายที่คนดังใส่มาร่วมงาน ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นชุดต้องห้าม ที่ไม่น่ากล้าสวมออกจากบ้าน รวมทั้งแฟชั่นเครื่องประดับศีรษะแบบอินเดียนแดงที่นักร้องดัง Cher สวมไปงานเมื่อปี 1986 , ชุดนางหงส์ของ Bjork เมื่อปี 2001 , ชุดซีทรูท่อนบนโดยไม่มีบราของ Gwinneth Patrow เมื่อปี 2002 ) หรือชุด Celine Dion ใน1999 ที่ดูเหมือนสวมแจ็กเก็ตสีขาว แต่ใส่กลับทาง





GOODIE BAGS ถุงของขวัญ





ถุงของขวัญขอบคุณในงานแต่ละถุง ที่ผ่านมานั้น ของรางวัลในถุงอาจรวมทั้งโทรศัพท์มือถือ, โทรทัศน์แบบ high-definition , เสื้อผ้าดีไซเนอร์ดัง ไปจนบัตรของขวัญสำหรับการท่องเที่ยว





HONORARY AWARD รางวัลเกียรติยศ




นอกจากรางวัลออสการ์ยังมีประวัติชอบมอบรางวัลพิเศษให้ดาราสูงวัย คนรุ่นเก๋าในวงการ และผู้ล่วงลับที่มีความโดดเด่น ผู้ที่ได้รับรางวัลประเภทนี้ในช่วงไม่นานมานี้ รวมทั้ง Peter O'Toole , Kirk Douglas และ Robert Redford ขณะที่ดาราตลกดัง Bob Hope เคยได้รางวัลออสการ์เกียรติยศไม่น้อยกว่า 5 ตัวช่วงปี 1941 -1966





IN MEMORIAM รำลึกถึงคนที่จากไป

ในงานแต่ละปี จะมีช่วงไว้อาลัยผู้ที่จากไป เมื่อปี 2003 พิธีกรของงานคือ Steve Martin เคยเล่นมุขล้อเลียนช่วงนี้ ด้วยการแนะนำภาพของบางคนที่เขาประกาศว่า"คือคนที่คุณคิดว่าตายแล้ว แต่อันที่จริงยังอยู่ "





JEAN HERSHOLT รางวัลฌอง เฮอร์สโฮลท์





เขาคือดาราและเคยเป็นประธานของสถาบัน หลังเขาตายเมื่อปี 1956 ก็มีการแจกรางวัลเกียรติตามชื่อเขา ให้กับ"ผู้ใช้ความพยายามด้านมนุษยธรรม จนนำชื่อเสียงสู่วงการหนัง" คนที่เคยได้รางวัล รวมทั้งGregory Peck, Frank Sinatra และ Bob Hope คนที่จะได้รางวัลนี้ในปีนี้คือดาวตลกJerry Lewis





KODAK การใช้ Kodak Theater เป็นที่จัดงาน





มีการใช้ที่สถานที่จัดงานแจกรางวัล สลับระหว่าง Dorothy Chandler Pavilion ที่ Los Angeles Music Center กับที่ Shrine Auditorium ใกล้มหาวิทยาลัย Southern California แต่นับจากปี 2002 ก็หันมาจัดประจำที่ Kodak Theater บนถนน Hollywood Boulevard ซึ่งจุได้ 3,400 คน




LOS ANGELES รถติดที่ลอส แองเจลีส


ในแต่ละปี งานออสการ์ทำรถติดมหาศาล เพราะมีรถลีมูซีน 1,200 คัน เข้าคิวส่งดารา เมื่อปี 1988 การจราจรคับคั่งที่ด้านนอกที่จัดงานคือ Shrine Auditorium จนผู้ประกาศผลรางวัล และดาราที่ได้รับการเสนอชื่อหลายคน ต้องทิ้งรถยนต์ และวิ่งไปตามถนนเพื่อไปงานให้ทันเวลา





MARKSMEN ออสการ์กับพลซุ่มยิง





มีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดมากในงานนี้ ถ้าคุณคิดจะพังรั้วเข้าไปในงาน มีโอกาสที่คุณจะเข้าไปได้ไม่เกิน 10 หลา เพราะมีพลซุ่มยิงของตำรวจยืนประจำการอยู่หรือซ่อนอยู่บนหลังคา พื้นที่ๆจะถูกประกาศเป็น no-fly zone และมีการปิดช่องทางต่างๆ แต่ไม่สามารถกันไม่ให้พวกเล่นพิเรนทร์ 2 คน บุกเข้างานเมื่อปี 2002 โดยใช้บัตรผ่านรถยนต์ปลอม





NOMINATIONS การเสนอชื่อ


หนังทุกเรื่องที่ได้รับเสนอชื่อ ต้องเคยฉายที่สหรัฐฯอย่างน้อย 1 ครั้งก่อน 31 ธันวาคมปีก่อน ถึงมีสิทธิเข้าชิงรางวัลออสการ์ปีถัดไป แต่ถือว่าเริ่มการแข่งขัน เมื่อมีการประกาศชื่อ 4 สัปดาห์ก่อนวันประกาศรางวัล จะมีการประกาศชื่อหนังและผู้เข้ารอบในเวลา 0530 ตามเวลาที่ลอสแอลเจลีส โดยประธานสถาบัน โดยมักมีคนได้รับรางวัลคนก่อนยืนอยู่ข้างๆ





OSCAR ทำไมชื่อออสการ์

ที่มาของชื่อนี้ยังเป็นที่ถกเถียง แต่ที่คุ้นหูกันที่สุด คือเรื่องเล่าที่ว่า บรรณารักษ์ห้องสมุดของสถาบัน คือ Margaret Herrick ออกปากเมื่อปี 1931 ว่า รางวัลนี้หน้าตาคล้ายลุงออสการ์ของเธอ เริ่มเรียกชื่อนี้กันจนคุ้นในปี 1934 และอีก 5 ปีต่อมาถึงกลายเป็นชื่ออย่างเป็นทางการ






PRESENTER พิธีกรรายการ



ดาวตลกวัยคุณทวด Bob Hope ทำสถิติในด้านนี้ โดยเคยเป็นพิธีกรงาน 17 ครั้งในช่วง 39 ปี Johnny Carson เป็นพิธีกรหลายครั้งในช่วงทศวรรษที่1980 ก่อนที่ Billy Crystal จะมาแทน และพิธีกรคนถัดมา มีตั้งแต่คนที่ทำได้ดีอย่าง Steve Martin กับ Whoopi Goldberg ไปจนถึงคนที่ถูกวิจารณ์ว่างั้นๆ อย่างChris Rock และถึงขั้นเลวร้าย อย่างDavid Letterman ส่วนปีนี้ Anne Hathaway & James Franco





QUIPS มุขนินทางานของพิธีกร

ส่วนหนึ่งของหน้าที่พิธีกรคือพูดตลกกระแนะกระแหนงานของตัวเอง Carson เคยกระแนะกระแหนงานนี้ครั้งหนึ่งว่า"งานหรู 2 ชั่วโมงที่ถูกยืดให้เป็น 4 ชั่วโมง" ส่วน Billy Crystal เปรียบเทียบกับTitanic โดยบอกว่า "เราใหญ่โต เราแพง และใครๆก็อยากให้เราเร็วกว่าเดิม" (We are huge, we are expensive and everyone wants us to go faster.) " แต่คนที่ล้อเลียนงานได้ดีที่สุดคือ Donald O'Connor เมื่อปี 1954 ที่บอกว่า "คือการเปิดซองอ่านพินัยกรรม "


RED CARPET พรมแดงในงาน





ในการจัดงานออสการ์ ที่ Kodak Theatre ต้องใช้พรมแดงมากถึง 14,000 ตารางฟุต ปูพื้นที่รอบๆด้านนอก สำหรับงานแฟชั่นชุดสวยของดารา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของงาน และที่ประดับตามทางเดิน คือรูปปั้นรางวัลสูง 7 ฟุต ที่จะทาสีทองใหม่ทุกปีก่อนวันงาน มีการปลูกดอกไม้ 60,000 ดอกเป็นพิเศษ เพื่อนำมาใช้ประดับทั่วบริเวณงาน





SPEECHES สุนทรพจน์




คนได้รางวัลที่กล่าวสุนทรพจน์ตอบรับรางวัลยาวนานเป็นประวัติการณ์ที่สุดคือ Greer Garson ที่พูดนาน 5 นาที เมื่อปี 1943 ส่วนคนพูดสั้นสุดคือ John Mills ผู้ไม่พูดอะไรเลย สมกับที่ได้รางวัลออสการ์จากบทคนเซ่อซ่าที่เป็นใบ้ในหนังเรื่อง Ryan's Daughter และว่ากันว่า คำกล่าวสุนทรพจน์ที่ทำคนอึ้งที่สุดเป็นคำอุทานของดาราสาวใหญ่ Sally Field เมื่อปี 1985 (ในภาพบน) ที่เธอพูดว่า "You really like me!" "พวกคุณชอบฉันจริงๆหรือนี่"





TELEVISION การออกทีวี


มีการถ่ายทอดสดงานนี้ทางทีวีครั้งแรกเมื่อปี 1953 ดึงดูดผู้ชมได้มากสุดในรอบ 5 ปี แต่เพิ่งมีภาพสีให้ชมในปี 1966 จนคุณปู่ Bob Hope เล่นมุขตลกว่า ได้ออกทีวีสี จะได้เห็นคนที่แห้วรางวัล หน้ากลายเป็นสีเขียว (Now we can see the losers turn green.) และเมื่อปี 2005 เครือข่าย ABC วิตกกลัวพิธีกรคือ Chris Rock จะเผลอสบถคำหยาบออกอากาศ จนต้องใช้วิธีถ่ายทอดสดแต่ดีเลย์ 5 วินาที จะได้ตัดทิ้งได้ทัน





UPSETS เรื่องน่าผิดหวัง





เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ รวมทั้ง Steven Spielberg ผู้แสนผิดหวังที่หนัง Shakespeare
in Love ได้เป็นหนังยอดเยี่ยมแห่งปี เมื่อปี 1999 แซงหน้า Saving Private Ryan ของเขา และว่า
กันว่า แม้แต่คนได้รางวัลเองคือ Juliette Binoche ก็ยังช็อค เมื่อรู้ว่าเธอตัดหน้า Lauren Bacall
คว้ารางวัลนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมปี 1997





VANITY FAIR งานเลี้ยงที่จัดโดยนิตยสารVANITY FAIR

หลังเสร็จพิธีแจกรางวัล ผู้คว้ารางวัลส่วนใหญ่จะไปปรากฏตัวในงานบอลที่จัดโดยผู้ว่าการรัฐหรือ Governor's Ball ก่อนจะไปต่อที่งานเลี้ยงเจ้าอื่นๆ และยอดนิยมที่สุดคืองานเลี้ยงที่จัดโดยบก.หนังสือ Vanity Fair ชื่อ rGrayson Carter ที่ Morton's Restaurant แถบเวสต์ ฮอลลีวู้ด แต่ปีนี้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ มีข่าวว่างานจะลดความฟู่ฟ่า และจัดที่ Sunset Tower Hotel





WAR สงครามกับงานออสการ์




ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตุ๊กตาเคลือบสีทองของรางวัลออสการ์ เคยเปลี่ยนไปทำด้วยปูนปาสเตอร์ และห้ามแต่งกายเป็นทางการไปร่งมงาน ขณะที่งานเมื่อปี 2546 ก็อบอวลด้วยความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ในอิรัก ทำให้มีการตัดทอนพิธีกรรมต่างๆลง รวมทั้งการที่พิธีกรคือ Steve Martin ตอกย้ำกับผู้ร่วมงานว่า บางคนอาจไม่ทันสังเกตว่างานปีนั้นไม่มีการปูพรมแดง เพื่อส่งสารถึงทหารหาญในสงคราม





X-RATED หนังออสการ์เรตส์ X





หนังดังเรื่อง Midnight Cowboy สร้างประวัติศาสตร์ให้กับรางวัล Oscar เมื่อปี 1970 มาจนถึงปัจจุบันด้วยการเป็นหนังเรตส์ X เพียงเรื่องเดียว ที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนต์ยอดเยี่ยม (Best Picture Award) สองดารานำคือ Dustin Hoffman กับ Jon Voight ต่างได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยม (. Best Actor Award ) แต่พ่ายให้กับ John Wayne เจ้าพ่อหนังคาวบอยตะวันตก





YOUTH ผู้ชนะวัยเด็ก





ดาราเด็กคนดัง Tatum O'Neal (ภาพบน)สร้างสถิติเป็นผู้คว้ารางวัล Oscar อายุน้อยที่สุด หลังจากเธอได้รางวัล นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Best Supporting Actress Award) จากหนังเรื่อง Paper Moon ตอนอายุแค่ 10 ขวบ (ในเวลาต่อมา ดาราเด็กอีกคน คือ Anna Paquin คว้ารางวัลเดียวกันจากหนังเรื่อง The Piano ตอนอายุ 11 ปี

แต่อันที่จริง ดาราเด็กที่สุดที่ได้รางวัล Oscar คือ Shirley Temple ดเาราเด็กรุ่นเก๋าที่อายุแค่ 6 ขวบตอนได้รางวัลเกียรติยศ จากการอุทิศตนอย่างโดดเด่นต่อวงการแสดง





ZERO หมายเลขไร้โชค





เลข 0 คือ จำนวนรางวัลที่ผู้กำกับคนดัง Steven Spielberg ได้รับจากหนังเรื่อง The Color Purple หลังจากหนังเรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลOscar มากถึง 11 สาขาเมื่อปี 1986 เป็นความล้มเหลวที่เทียบเก่ากับหนังดราม่าเกี่ยวกับบัลเลต์เรื่อง The Turning Point เมื่อปี 1978.

ยังมีสถิติที่น่าสนใจด้วยว่าRichard Harris เคยได้รับการเสนอชิงรางวัลนี้ 7 ครั้งแต่แห้วตลอด และยังไม่มีใครทำลายสถิติของ Sound mixer ชื่อ Kevin O'Connell ผู้ยังไม่เคยได้รางวัล Oscar ไปนอนกอดสักที แม้จะได้รับการเสนอชื่อมาแล้ว 20 ครั้ง....

พบกับพิธีแจกรางวัลออสการ์ครั้งที่ 83 คืนนี้บ้านเขา เช้าพรุ่งนี้บ้านเราจ้าา

















































And the Oscars Go to...






แก้ไขล่าสุดโดย ~ ทุ่งหญ้า วันฟ้าใส ~ เมื่อ Tue Mar 01, 2011 3:37 am, ทั้งหมด 10 ครั้ง

_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ชอบAmy Adams อ่ะ


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ชมเว็บส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  



ฉันอยากจะบอกว่า คนที่ชั้นว่าดูทีไรก้อเป๊ะกับพรมแดง น่าจะเปน ชารีซ เธียรอน นะ เหนมีแค่บางชุดที่ไมเ่ป๊ะ อีกคนที่ชั้นชอบมากเวลาเดินพรมแดง อีวาน เรเชล วูด อิห่าผิวสวยมาก เลืกอชุดไหนมาก้อเริ่ดหมดเลย

เบสนำญ คงเชียร์ นาตาลี นะคร๊ะ

เบสซัพญ เชียร์ เฮเล น่าค่ะ *





_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email ชมเว็บส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ตี 1 ใช่ไหมค่ะ เชียร์นาตาลีค่ะ


_________________

น้องยูค ผู้หน้ารัก
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
อลังการงานสร้างมากเลยกับ ออสก้าร์ปีนี้


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
เชียร์นาตาลีมาก ๆ


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
เจมส์ ฟรังโคเป็นพิธีกรแล้วก็ออกมารับรางวัลพร้อมกันเลยนะ Very Happy


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ชมเว็บส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
like like like


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
คอบคุณเจ้าของกระทูมากกค่ะ

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 3
ไปที่หน้า 1, 2, 3  ถัดไป
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com