˹���á Forward Magazine

ตอบ

ไปที่หน้า 1, 2  ถัดไป
'มิกกี้' เปิดใจเจอ 'หมออ้อย' วันแรกแทบอยากตดตลอดเวลา
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ 'มิกกี้' เปิดใจเจอ 'หมออ้อย' วันแรกแทบอยากตดตลอดเวลา 



“มิกกี้” ฟุ้ง ไม่แคร์ที่ “หมออ้อย” เคยแต่งงานมาแล้ว บอก ต้องการหาแม่ของลูก ไม่ใช่หาเมียที่เวอร์จิ้น ถึงกับโล่งที่ครอบครัวเข้าใจไม่กีดกัน เจ้าตัวป้อง แต่งงานกันเพราะรัก ไม่ใช่เพราะหมออ้อยติดเซ็กส์ พร้อมให้คำมั่น ตนลำบากได้ แต่ภรรยาต้องสบาย ส่วนกระแสหมออ้อยโกหกเรื่องอายุ ลั่นไม่สนใจเรื่องสังขาร ยึดความรู้สึกอย่างเดียว

เป็นที่ฮือฮาและอยู่ในความสนใจไม่น้อย สำหรับข่าวคราวที่ “หมออ้อย จุฑารัตน์ เทียมสุวรรณ” หม้ายสาวเซ็กซี่ตัวแม่ของวงการบันเทิงประกาศแต่งงานรอบ 2 กับ “มิกกี้ ณัฐพงศ์ ชอบชื่น” หนุ่มรุ่นน้องที่จัดรายการเกี่ยวกับเซ็กส์คู่กัน ในรายการ "ไนท์วาไรตี้" ทางช่องเคเบิ้ล เอชพลัสแชแนล หลังคบหากันได้เพียง 5 เดือน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ฝ่ายหญิงเคยลั่นวาจาจะไม่แต่งงานกับหนุ่มหน้าไหนอีก ประกอบกับที่ผ่านมา หมออ้อยเองก็มีข่าวพัวพันกับหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มากหน้าหลายตา แต่ก็ไม่มีใครเป็นตัวจริง

แต่จู่ๆ หมออ้อยก็สร้างเซอร์ไพรส์ ออกมาเปิดตัวสามีป้ายแดงแบบสายฟ้าแล่บ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ทั้งคู่จะถูกจับตามองเป็นพิเศษ “บันเทิงASTVผู้จัดการออนไลน์” จึงได้นัดสัมภาษณ์พิเศษหนุ่ม “มิกกี้” ว่าเขามีดีอะไรถึงได้เอาชนะใจหมออ้อยได้ พร้อมกับการเจาะลึกเรื่องรัก ล้วงเรื่องเซ็กส์แบบถึงพริกถึงขิง

“ผมเข้าวงการนี้มานานหลายปีแล้ว จากแรกๆ เคยเป็นดีเจเปิดแผ่นมาก่อน แล้วก็ได้ก้าวมาทำงานช่วงกลางวัน เป็นพิธีกรตามงานอีเว้นท์ต่างๆ แล้วก็จะมีงานเดินแบบบ้าง แต่จะถนัดงานพิธีกรซะมากกว่า หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้ทำรายการทางทีวีกับพี่หนุ่ม กรรชัย อยู่ 2 ปี อย่างที่ผมเคยบอกไปถ้ามีคนอยู่ 60 ล้านคน น่าจะมีคนรู้จักผมสักหนึ่งร้อยคนได้ แล้วก็ได้มาทำรายการไนท์วาไรตี้ ทางเอชพลัสแชแนล มาตั้งแต่ปีที่แล้ว รายการนี้เป็นจุดเริ่มต้นทำให้ผู้รู้จักกับหมออ้อย”

“เจอกันครั้งแรก คือก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ผมได้ยินชื่อเสียงหมออ้อยมาก่อนแล้วจากข่าวคราวของเขา ว่าเขาเป็นคนเซ็กซี่นะ เป็นคนที่แรง ชอบกินเด็กนะ แต่เจอตัวจริงครั้งแรก สิ่งที่ผมรู้สึกคือผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่เซ็กซี่เลย ทำไมคนถึงมองว่าเขาเซ็กซี่ ผมกลับมองว่า โอเคเขาก็น่ารักดี ทำไมถึงได้ขาวโบ๊ะขนาดนี้ ลวกน้ำร้อนทุกวันรึเปล่า แต่ไม่เห็นเซ็กซี่เลย แล้วการร่วมงานกันวันแรก ผมมาอ่านสคลิปอยู่นานมาก แต่พอเขาเข้ามา เขาก็บอกทีมงานเลยว่าอ๊ะ..ถ่ายรายการเลย แล้ววันนั้นเขาก็ไม่โยนคำพูด เราส่งเขาก็ไม่รับ วันนั้นพูดได้เลยว่ากลับไปบ้านเราจะต้องตดตลอดเวลาเลย เพราะว่าลมจะเต็มท้องทันที ไม่ได้พูดอะไร จะอ้าปากพูดเขาจะแย่งซีนตลอดจนเราไม่ได้พูดอะไร จนมารู้ทีหลังว่าเขาไม่ชอบเราเลย”

“ผมไม่ได้ไม่ชอบหรือไม่ได้เกลียดเขา รู้สึกเฉยๆ มากกว่า แต่เขาบอกว่าเห็นผมครั้งแรกดูแบดบอย ด้วยความที่เราไม่ใช่คนชอบประจบหรือชะเลียใคร แต่ในขณะที่เขาเป็นรุ่นพี่ทำงานมาก่อนเรา เรียกว่ารายการนี้เป็นของเขาได้เลย ทุกครั้งที่เข้ามาเราก็สวัสดีครับ จะให้ไปทำเหมือนคนอื่นที่เจอแล้วแบบ โอ้โหพี่เจนนี่(ชื่อหมออ้อย)ทำไมชุดพี่สวยจังเลยอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผมกลับไม่อะไร อันนี้คงเป็นจุดที่ทำให้เขาคิดว่าเราหยิ่ง เหมือนเฮ้ยมึงเจ๋งมาจากไหน เป็นไปได้ว่าเขม่นนิดๆ”

“ผมก็ติดใจนิดนึงว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงไม่ชอบเรา วันรุ่งขึ้นผมก็โทรหาพี่หนุ่ม กรรชัย พี่หนุ่มก็บอกว่าเพิ่งไปถ่ายงานด้วยกันมา ผมก็เลยถามว่าพี่ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนยังไง เราก็เล่าให้ฟังว่าเขาไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่ พี่หนุ่มก็ขำ เขาก็บอกไม่มีอะไรหรอก บอกไปเลยว่าทำรายการกับพี่อยู่ พอตอนหลังเขา(หมออ้อย)ได้ดูผลงานที่ผ่านมาของเราถึงได้เริ่มเปิดใจรับเรามากขึ้น”

เผย ข่าวฉาวต่างๆ ของหมออ้อยไม่ได้ทำให้รู้สึกรังเกียจผู้หญิงคนนี้ แต่กลับเป็นเรื่องดีที่ทำให้ได้รู้จัก และเรียนรู้ตัวตนที่แท้จริงของภรรยาได้เร็วขึ้น
“ด้วยความที่เราไม่สร้างภาพตั้งแต่แรก อันนี้ไม่ได้ชมตัวเองนะ ด้วยความที่ผมเป็นคนพูดตรง จริงใจ คิดยังไงก็พูดอย่างนั้นเลย อาจจะเป็นจุดนี้แหละที่ทำให้เขาเห็นว่าเราก็ไม่ใช่คนที่เลวร้าย ต่างคนต่างเป็นตัวของตัวเอง เขาก็เห็นว่าเราเป็นคนยังไง เราก็เห็นว่าเขาเป็นคนยังไง ผมเป็นคนจีบเขาก่อน ส่วนเรื่องของวิธีการจีบมันเป็นไปโดยปริยาย เป็นไปโดยความเข้าใจของคนสองคน มันเป็นความก่อนตัวขึ้นมา จนกระทั่งกลายเป็นความรักก็ตอนช่วงช่วงเดือนมกราคม ก่อนวันวาเลนไทน์ปีนี้แหละ แล้วก็บอกความรู้สึกของเราออกไป ซึ่งจากฟีดแบคที่เขามีตอบกลับมา ทำให้เรารับรู้ได้ว่าเขารู้สึกดีกับเรา แต่รักเรารึเปล่ายังไม่รู้ แต่ผมก็อยากบอกเขาว่าเรารู้สึกยังไง”

“ข่าวต่างๆ ที่ผ่านมาเกี่ยวกับเขา ผมกลับมองว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้ผมรู้จักเขา ดีกว่าผมต้องไปนั่งเริ่มต้นทำความรู้จักกับคนที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ข่าวของเขา(หมออ้อย)จากศูนย์ถึงสิบ อย่างน้อยๆ ถึงจะมีทั้งจริงบ้างไม่จริงบ้าง แต่มันก็ทำให้ผมรู้จักเขา พอผมได้มารู้จักตัวตนจริงๆ ทำให้สามารถรู้ได้เลยว่าเรื่องไหนหรือข่าวไหนมันเป็นจริงบ้าง หรือจริงแค่ไหน จุดนี้ก็เลยทำให้ผมเรียนรู้เขาได้ดีมาก”

สุดประทับใจ เดทแรกหมออ้อยทำเอาน้ำตาเกือบแตก
“ส่วนตัวผมไม่ค่อยโรแมนติกเท่าไหร่นะ ค่อนข้างทำอะไรด้วยเหตุผล สมมติว่าอยู่ในห้องด้วยกัน ให้ปิดไฟ ให้จุดเทียน ผมก็จะถามว่าจุดทำไม ไม่กลัวไฟไหม้หรอ คือคิดว่าแสงเทียนที่ออกมาวิ้งๆ ซึ่งเราจะมีความคิดเหมือนผู้ชายคนนึงคือเฮ้ย เดี๋ยวไฟไหม้นะ ถามว่าอยากจะโรแมนติกให้เขาไหม ก็อยากนะ อย่างตอนที่ออกเดทครั้งแรก ผมประทับใจที่เขาทำให้ผม โรแมนติกที่สุดน่าจะเป็นวันวาเลนไทน์ ที่เขาใหญ่ ไปเที่ยวกัน ตอนแรกเราจองห้องพักไว้ที่นึง เราก็อยากเซอร์ไพรส์เขาไว้เหมือนกัน แต่เขามาเซอร์ไพรส์เรากลับ ด้วยการจองที่พักซึ่งเป็นห้องพักที่ดีกว่าเรา ของเราราคาประมาณ 6 พันต่อหนึ่งคืน แต่ของเขาประมาณเท่าตัว คือเป็นหมื่นอะไรประมาณนี้”

“ทุกอย่างจัดเตรียมไว้อย่างโรแมนติกมาก ไม่ว่าจะเป็นดินเนอร์ท่ามกลางแสงเทียน แล้วเขาขอเพลงให้ผม ซึ่งผมจะเป็นคนแพ้เพลงอยู่เพลงนึงชื่อเพลงคู่ทรหด เราฟังทีไรยิ่งถ้าอยู่ในช่วงของเวลาที่มีความรักแล้วน้ำตาจะไหล ฟังแล้วไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องอิน เคยไปเป็นพิธีกรงานแต่งงานแล้วเค้าเปิดเพลงนี้ นึกว่าตัวเองเป็นเจ้าบ่าว แล้วจะร้องไห้ตลอด ร้องขี้มูกโป่ง คืออายคนอื่นมากๆ เป็นพิธีกรแต่กลับร้องไห้ซะเอง ซึ่งวันนั้นเขาขอเพลงนี้ให้เรา แล้วเราเขินอ่ะ เราไม่อยากร้องไห้ให้ผู้หญิงเห็น ตอนนั้นน้ำตาคลอๆ แล้วเราก็ทำตลกกลบเกลื่อน มองโน่น มองนี้ไป ช็อตนั้นเป็นช็อตที่ผมประทับใจมาก”

แต่ทันทีที่ออกมาเปิดตัวว่าเป็นสามีของหมออ้อย และกำลังจะแต่งงานกันในเร็วๆ นี้ ส่งผลให้มิกกี้โดนถล่มด่าจากชาวอินเตอร์เน็ตว่าเกาะผู้หญิงกินและเกาะผู้หญิงดัง
“ผมตกใจมากเลยว่าทำไมเขาถึงด่าผมขนาดนั้น ด่าเหมือนคลานตามผมมา ด่าเหมือนรู้จักเรา จริงๆ เขา(หมออ้อย)ก็บอกผมแล้วว่าจะต้องมีข่าวทำนองนี้แน่ๆ คือเขาเองก็รู้ว่าคนที่อยู่กับเขาต้องโดนแน่ๆ ด้วยภาพที่เขาเป็นที่ทุกคนมอง ซึ่งคนรอบข้างก็ให้กำลังใจว่าอย่าคิดมาก ถ้าเราไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ไม่ได้ไปสนใจ เรื่องที่มาหาว่าผมเกาะผู้หญิงกิน ผมอยากถามว่าคุณรู้เหรอว่าผมทำอะไรบ้าง ผมทำงานหาเงินของผมเองได้ แล้วชีวิตตอนนี้ก็มีความสุขดี ผมมีอู่รถที่เปิดกับเพื่อน ผมทำงานหาเงินด้วยตัวเองมาตลอด ผมอยากจะบอกว่าผมอาจจะมีเงินมากกว่าคนที่ด่าผมด้วยซ้ำ”

“จริงๆ แล้วถ้าเขาเป็นคนไม่มีชื่อเสียง ถ้าเขาไม่ได้มีลุคส์ที่ร่ำรวยผมยังจะดีใจซะกว่านะ ผมรักที่เขาเป็นเขา ไม่เกี่ยวกับอ็อพชั่นต่างๆ ที่เขามีมา หรือชื่อเสียเงินทองต่างๆ ที่เขามีมา ถ้าเขามีชื่อเสียงหรือเงินทองแต่ถ้านิสัยหรือตัวตนเขาไม่ใช่เป็นอย่างนี้ ผมไม่เอาแน่”

เจ้าตัวถึงกับโล่งที่ครอบครัวเข้าใจ ไม่เคยกีดกันที่ตนจะแต่งงานกับแม่หม้าย ในขณะเดียวกันข่าวคราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเจ้าชู้ของหมออ้อยที่มักมีข่าวพัวพันกับหนุ่มๆ มาโดยตลอด แถมยังเป็นสาวแรงแห่งยุค ก็ไม่มีผลกระทบใดๆ
“คุณพ่อพูด แต่คุณแม่ไม่มีปัญหาอะไร คือที่บ้านจะอยู่กันเหมือนเพื่อนคุณพ่อ คุณแม่ และน้องชาย เราจะคุยกันเหมือนเพื่อน แล้วแต่ก่อนผมจะชอบแซวพ่อว่าไม่หาเด็กมั่งเหรอ มีเมียแก่นะพ่อเนี่ย(หัวเราะ) พ่อก็จะบอกว่าเออแก่ง่ายตายยากเหลือเกิน พอจะแต่งงานก็บอกที่บ้าน คุณพ่อก็บอกว่าเป็นไงล่ะ แบบนี้และเวิร์คมันต้องเป็นกันทั้งตระกูล เพราะคุณแม่ก็อายุมากกว่าคุณพ่อเหมือนกัน ส่วนในภาพที่เข้ามาครอบครัวผมจะให้กำลังใจซะมากกว่า ว่าจะไปคิดทำไมในเมื่อเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ที่บ้านผมโอเคมาก”

“คือก่อนหน้านี้มีหนังสือพิมพ์ฉบับนึงมาสัมภาษณ์ผม แล้วเขาถามผมว่า คุณรู้ไหมว่าหมออ้อยเคยแต่งงานมาแล้ว ผมเลยบอกว่าคุณถามผมแบบนี้แสดงว่าคุณติ๊งต๊องนะเนี่ย ผมขอแต่งงานกับผู้หญิงคนนึง แล้วผมจะไม่รู้เลยเหรอว่าเขาเคยแต่งงานมาแล้ว คุณถามแบบนี้ มันเป็นคำถามเดียวกันกับ คุณจะแต่งงานกับเธอ แล้วรู้ไหมว่าเธอชื่อเล่นชื่ออะไร แล้วเขาก็ถามผมว่าคุณรับได้เหรอที่จะมีภรรยาที่เขาเคยแต่งงานมาแล้ว ผมก็เลยถามกลับไปว่า น้องแต่งงานรึยัง เขาบอกยังค่ะ แล้วน้องมีแฟนรึยังจ๊ะ เขาตอบว่ายังค่ะ”

“ผมก็เลยถามกลับไปว่า ถ้าน้องมีแฟน แฟนน้องจะมานั่งถามมั้ยว่า ที่รักคุณเสียตัวครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่ กี่ครั้งแล้วอ่ะ แล้วคนต่อมาอีกกี่ครั้งอ่ะ บ้ารึเปล่าใครจะมานั่งให้ความสำคัญเรื่องนี้ ในเมื่อคุณรู้มั้ยว่าในวันนึงคุณจะต้องมาเจอผม แล้วเราจะต้องมาคบกัน คุณจะต้องนั่งสวดมนต์ไหว้พระรอผม 35 ปี คุณจะต้องนั่งบำเพ็ญเพียรภาวนา เพื่อเราจะได้ใสสะอาดกันทั้งคู่ มันไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตเราจะเจอใคร เรื่องที่ผ่านมาก็คือเรื่องที่ผ่านมา ผมต้องการแม่ของลูกของคุณที่เวอร์จิ้นหรือบริสุทธิ คุณต้องการผู้ชายที่เวอร์จิ้นมั้ย ถ้าคุณต้องการผมถามหน่อยว่า แล้วคุณจะไปหาที่ไหน ส่ง sms มาบอกผมด้วย และผู้ชายที่เป็นแบบนั้น คุณสงสัยมั้ยว่ามันอยู่รอดมาได้ยังไง ทำไมมันไม่มีลูกมีเมีย คนมันดีๆ ขนาดนี้ ทำไมมันเพิ่งมาเจอคุณตอนนี้”

“แล้วเขาถามว่าคุณพ่อคุณแม่ผมรับได้มั้ย คุณติ๊งต๊องรึปล่า ในเมื่อผมบอกอยู่แล้วว่าผมจะแต่งงาน แล้วครอบครัวผมรับได้ ในขณะเดียวกันคุณพ่อกับคุณแม่ผมอยู่กันมา 40-50 ปี เขาอยู่กันมาอย่างมีความสุข ก่อนแต่งงานคุณพ่อผมยังไม่เคยไปถามคุณแม่ผมเลย เฮ้ย กี่คนแล้วเนี่ย(เก็กเสียงเข้มเหมือนพ่อ) คุณแม่ผมก็ไม่เคยไปถามพ่อ เยอะมั้ย ไม่มีใครไปนั่งถามกันเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของความเข้าใจ เราเข้ากันได้ อดีตมันก็คืออดีต อดีตคือสิ่งที่ผ่านมา มันเป็นประสบการณ์ของคุณ คุณรู้จุดบกพร่องจากสิ่งที่ผ่านมา เพื่ออะไร ก็เพื่อวันนี้ไงเราจะได้อยู่ด้วยกัน เราไม่ต้องมานั่งปรับความเข้าใจกันมากมายเลย ในเมื่อ คุณรู้ข้อบกพร่องของตัวเองแล้ว”

“ถามว่าหมออ้อยน่ารักยังไง คือเขาเข้าใจในสิ่งที่คุณต้องการ เขารู้ช่องว่างระหว่างกัน ว่าผมต้องการอะไร ผมไม่ชอบอะไร แล้วที่สำคัญเขาเป็นคนที่มีรูปแบบชีวิตที่ดี ผู้หญิงคนนึงที่สามารถจัดสรรชีวิตตัวเองได้ ในขณะที่อยู่คนเดียวไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ มันคือวิถีชีวิตของคนสองคนที่เอามารวมกันแล้ว สามารถเข้ากันได้ ไม่คาบเกี่ยว ไม่ทับ แต่มันสามารถเข้ากันได้อย่างลงตัว (มิกกี้เคยถามหมออ้อยมั้ยว่าทำไมถึงเลือกเรา?) เคยครับ เพราะในชีวิตเขามีคนเข้ามาหาเยอะแยะมากมาย ทั้งดารา ทั้งหล่อกว่าเรา นิสัยดีกว่าทุกอย่าง เขาก็บอกว่ามันคือความพอดี เหมือนกันกับที่ผมรู้สึกกับเขา”

“เขาบอกว่าด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตของเรา ทำให้เขาคิดว่าผมสามารถดูแลเขาได้ในภายภาคหน้า หรืออีกอยากนึงคือการหยุดของเรา เราเบื่อสังคมที่แบบ…เนื่องจากเราอยู่ในสังคมกลางคืนมา ตั้งแต่ตอนเป็นดีเจ เรากินเหล้าๆๆ เราเที่ยวๆๆ มามากแล้ว จนรู้ว่าเดี๋ยวนี้เวลาคุณไปเที่ยว คุณเข้าไปแล้วคุณจะไปเจออะไร จุดจบของการไปเที่ยวในครั้งนี้คืออะไร ซึ่งผมรู้และหยุดในจุดพวกนี้แล้ว เขาถึงชอบในตัวเรา”

ฟุ้ง ไม่มีข้อตกลงผูกมัดใดๆ ต่อกัน มีเพียงคำสัญญาที่จะยอมลำบาก เพื่อให้หมออ้อยสบาย
“ไม่มีเลย จริงๆ ผมบอกกับเขาว่าหลังจากที่เราแต่งงานกัน หรือว่าระยะเวลาที่เราคบกันมา คุณเห็นมั้ยว่าผมเป็นยังไง ถ้า คือเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าทำอะไรให้ใครแล้วก็ย่อมอยากได้สิ่งนั้นตอบกลับมาอยู่แล้ว ผมให้ความรักให้ความซื่อสัตย์กับเขา ผมก็อยากจะได้ความรักความซื่อสัตย์กลับมาแค่นั้นเอง ไม่ได้ตกลงว่าแต่งงานแล้วคุณจะต้องทำอะไร ไม่มี ส่วนเรื่องคำสัญญา ผมเคยให้สัญญากับเขาอยู่ครั้งนึง บอกว่าชีวิตของผมไม่ใช่ชีวิตที่หรูหรา ไฮโซและฟุ่มเฟือย ไม่ใช่ชีวิตที่มีหน้าตาในสังคม แต่อย่างหนึ่งที่ผมสัญญากับเขาได้ ถ้าผมลำบาก เขาจะต้องสบาย ถ้าผมสบายเมื่อไหร่ เขาควรจะมีความสบายมากกว่าผม ผมให้สัญญาเขาได้แค่นี้”

“เขาคงโอเคนะ เขาคงดีใจ ไม่ได้แบบกรี๊ด กระโดดตบดีใจ แต่คงดีใจในความรู้สึกของเขา แต่ในเรื่องบอกรัก ผมบอกรักเขาทุกวันอยู่แล้ว แต่ในเรื่องของความมั่นใจ ผมคิดอย่างนี้ คือวันไหนที่ผมมีความสุข เขาจะต้องมีความสุขมากกว่าผม วันไหนที่ผมมีทุกข์ เขาต้องมีทุกข์น้อยกว่าผม เขาไม่สุข เขาก็ต้องทุกข์น้อยกว่าผม”

“เขาเคยขอผมแค่เรื่องขอให้ใจเย็น ปกติแล้วผมเป็นคนค่อนข้างที่จะใจร้อน ไม่ได้ใจร้อนแบบไประรานใครนะ คือผมมีกรอบของตัวเอง คือกรอบที่มีสิทธิมนุษยชนทุกคนควรได้รับ เป็นกรอบในนี้ ถ้าทุกคนไม่มายุ่งในกรอบของผมเราไม่มีปัญหา แต่ถ้าเลยเข้ามาในกรอบ เราต้องดูแล้วคุณเข้ามาเพื่ออะไร คุณมีจุดประสงค์อะไรกับการเข้ามาในครั้งนี้ ถ้าคุณไม่มีประสงค์ดีกับเรา เราก็ไม่สามารถที่จะให้ความรู้สึกดีๆ กับคุณได้แค่นั้น”

คงจะมีดาราไม่กี่คู่ ที่จะยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าคู่ของตนอยู่ก่อนแต่ง แต่สำหรับคู่นี้กลับทำทุกอย่างที่ดาราไม่กล้าทำกัน
“ก่อนที่จะพูดประเด็นนี้ ผมขอบอกก่อนเลยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพูดมันขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะของแต่ละคน วุฒิภาวะของแต่ละช่วงอายุของแต่ละคนด้วย ถามว่าถ้าคุณพร้อม คุณมีหน้าที่การงาน คุณโตแล้ว มีวุฒิภาวะที่พร้อมแล้ว ทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิ ถามว่าถ้าคุณศึกษากันอยู่ก่อนแต่งผิดไหม ผิดแน่นอน ที่บ้านคุณจะคิดยังไง พ่อแม่คุณจะคิดยังไง แต่ในขณะที่ครอบครัวคุณยอมรับทั้งคู่และเข้าใจ ลองอยู่ด้วยกันสิไม่เห็นเป็นไร ผมมองว่าไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าคุณเป็นนักเรียน นักศึกษา คุณขอเงินจากพ่อแม่ คุณเรียนหนังสือ คุณอยู่กันก่อนแต่งงาน อันนี้ผมว่าไม่ใช่เรื่องที่ถูกแน่นอน”

“แต่ก็มีหลายคู่ที่อยู่กันอย่างนี้ แล้วก็แต่งงานมีลูกด้วยกันก็มี แต่จะเป็นส่วนน้อย ในมุมมองของผู้ใหญ่เขาก็ว่าไม่ถูกต้องอยู่แล้ว เพราะคุณอยู่ในวัยเรียน คุณไม่สามารถที่จะมาใช้ชีวิตด้วยกัน คุณจะหาเงินที่ไหนมาเลี้ยงผู้หญิงคนนี้ แต่ในมุมมองของผม ถ้าคุณพร้อมทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิแล้วเนี่ย สำหรับผมมันไม่ใช่สิ่งที่ผิด ผมว่าจะเป็นสิ่งที่ดีมากกว่าที่ได้ศึกษากัน อย่างที่ผมว่าคบกัน 1 ปีแล้วถามว่าเขาจะรู้ไหมว่าผมนอนกรน เขาจะรู้ไหมว่าวิถีชีวิตในการอยู่คนเดียวของผมนั้นเป็นยังไง เขารับได้หรือเปล่า ถ้าตื่นเช้ามาผมตดแป๊ดขึ้นมา ตื่นเช้ามาผมต้องตด เขาจะว่าไหม เขาสะอาดมากเลย แต่ทำไมผู้ชายคนนี้ตื่นเช้ามาปากเหม็น ใช้ยาสีฟันอะไรก็ไม่หาย ซึ่งมันเป็นสิ่งดีที่เราได้ศึกษากัน ถ้าคุณวุฒิ วัยวุฒิของคุณพร้อมแล้ว”

“ผมมองในมุมมอง ไม่ได้คิดแบบคนรุ่นใหม่นะ ผมก็มีความคิดผสมผสานระหว่างคนรุ่นเก่า ถ้าคุณวุฒิ วัยวุฒิพร้อมแล้วเนี่ย ไม่มีอะไรที่ผู้ใหญ่เขาจะเป็นห่วงแล้ว คือลูกไปอยู่ก่อนเสียตัวนะ คือมันไม่ต้องมานั่งคิดกันแล้ว สำหรับคนอื่นจะคิดยังไง ไม่ต้องมานั่งคิดแล้ว เพราะคุณวุฒิ วัยวุฒิเราพร้อมแล้ว(อธิบายน้ำเสียงจริงจัง)”

ยอมให้มุดมุ้งข้าวใหม่ปลามัน พร้อมเผยกิจกรรมภายในครอบครัวว่าทำอะไรกันบ้าง
“5 เดือนที่อยู่ด้วยกัน มันไม่ได้มีอะไรแตกต่างนะ ช่วงเวลาแรกที่เรายังไม่ได้อยู่ด้วยกัน ทุกคนมีความเป็นส่วนตัว เวลาคุณจะเข้าห้องน้ำ คุณนอนอยู่บนเตียงเนี่ย คุณอยากตดก็ตดมันเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าต้องมาอยู่กับผู้หญิงสักคน เป็นผมก็ไม่กล้าตดนะ แต่ด้วยความที่เราอยู่ด้วยกันเป็นตัวของตัวเอง ถามว่าผมกล้าตดมั้ย ผมอาจจะกล้าก็ได้ แต่อาจจะตดเบากว่าเดิม เห็นมั้ยผมก็ยังเป็นตัวของตัวเองอยู่ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้เลยว่าผมเป็นคนนอนกรน จนวันแรกที่เขามีโอกาสได้เห็นผมหลับ เขาถึงได้รู้ว่ามันซุปเปอร์มหากรน แรกๆ เขาก็นอนไม่หลับ รับไม่ได้ แต่หลังๆ มามันก็คือการปรับตัวและความเข้าใจ”

“ส่วนมากถ้าเป็นเรื่องของบ้านผมจะทำนะ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ทำนะ แต่ผมเป็นคนชอบในความสะอาดมาก แล้วเวลาเห็นเขาทำอย่างนี้ ความรวดเร็วในการทำ มันจะไม่เหมือนกัน กวาดบ้านนี้ก็จะกวาด พรึ้บๆ ช้าๆ แต่เราสามารถกวาดได้เลย ส่วนมากผมจะเป็นคนทำมากกว่า เขาก็ทำในส่วนของเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้ชายมองข้ามไป ในเรื่องของการจัดโต๊ะ จัดของให้ดี ซึ่งเรามองว่าเราวางอย่างนี้เราเรียบร้อยแล้ว แต่เขาจะมาจัดให้ดี เรื่องของที่นอนเราตื่นมาเราจะออกไปไหน บางทีเราก็จะไม่ได้เก็บที่นอนให้ดีไม่ได้ใส่ใจ เขาก็ถามเราว่า ทำไมไม่เก็บไม่พับที่นอนให้ดี เราก็บอกว่า เราพับแล้วดูให้ดีซิ เขาก็จะว่าพับยังไงยังขยุกขยุยอยู่เลย ผมจะบอกเขาว่าไม่ได้พับเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเหมือนของคนอื่น เราพับเป็นรูปดอกกุหลาบไว้ ซึ่งมันก็เป็นข้อแก้ตัวของเรานะ(หัวเราะ)”

“ส่วนเรื่องทำกับข้าวไม่จำเป็นเลย ผมคิดว่าการทำกับข้าวมันเป็น Activity ที่ทำให้ชีวิตคู่ของเราสนุกสนาน ในมุมมองของผมนะ เพราะผมเป็นคนที่ชอบทานข้าวข้างนอก ทานก๋วยเตี๋ยว ทานอะไรก็ว่าไป แต่กิจกรรมนี้อย่างคนอื่นมองว่าเป็นชีวิตประจำวัน ส่วนผมกับเขามันเป็นกิจกรรมที่ทำแล้วสนุก มันไม่ต้องมานั่งทำกินทุกมื้อ แต่มื้อที่เราทำอร่อยไม่อร่อยก็ไม่รู้ แต่เราก็ได้ทำอะไรร่วมกัน แล้วเราก็มานั่งกินข้าวที่เราทำ ชมกันไป ชมกันมา ถามว่าอยากกินอะไรทุกวันนี้ ด้วยการทำงาน ไม่มีเวลาทุกวันให้คุณไปจ่ายตลาด คุณต้องซื้อผักมาเป็นกำ ผักบุ้งนี้แล้วที่เหลือไปไหน ไว้ในตู้เย็น ไม่มีเวลามาทำเน่าอีก ไปทานข้างนอกหรือซื้อมาทานสะดวกที่สุดแล้ว”

รู้ดีว่าภรรยาชอบของแบรนด์เนม แถมยังติดหรูหัวจรดเท้า จนหลายคนเป็นห่วงว่าแล้วจะเลี้ยงหมออ้อยไหวมั้ย เรื่องนี้หนุ่มมิกกี้แจงว่า…
“เรื่องที่จะเลี้ยงเขาไม่ไหว ผมไม่กลัวเลยนะ เพราะถามว่าเรื่องเลี้ยง ทุกคนอยากรู้ คงไม่ใช่เรื่องกินข้าว ไม่ใช่ว่าจ่ายตังค์กินข้าวไหวไหม คงจะเป็นเรื่องของการใช้ของ เป็นเรื่องของแบรนด์เนมต่างๆ เพราะว่าในระยะเวลาที่เขาอยู่ในวงการ เขาเป็นอย่างนี้มาตลอด นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องนะ เขาใช้ของแบรนด์เนมมาทุกอย่างที่เขาอยากใช้ เขาใช้มาหมดแล้ว รถสปอร์ตทุกคันที่เขาอยากขับ เขาขับมาหมดแล้ว เขามีรถ 4-5 คัน เขาขับมาหมดแล้ว มาถึงวันนี้ถามว่าเขาอยากได้อะไรจากผมไหม เขาไม่ได้ต้องการอะไรจากผมเลย”

“เขารู้มาหมดแล้วว่า การถือหลุยส์ วิตตอง รุ่นนี้มันเป็นยังไง การถือปราด้า มันเป็นยังไง การขับสปอร์ตขับแล้วเป็นยังไง การมีขับรถ 4-5 คันมันเป็นยังไง พอมาถึงในจุดนี้ ซึ่งเลยเวลาที่เขาอยากใช้ของแบรนด์เนมมานานแล้ว แต่ที่กำลังจะบอกนี่ ไม่ใช่ว่าต่อไปเขาจะไม่อยากได้ เพราะหลุยส์ มันก็มีรุ่นใหม่ออกมาก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาบอกชัดเจนเลยว่า อะไรที่เขาอยากจะได้ เขาจัดการของเขาเองได้ แต่ในเรื่องของที่เราอยากจะซื้อให้นั่นอีกเรื่องนึง ถามว่าเราซื้อให้ได้มั้ย นั่นอีกเรื่องนึง แต่ให้ผมซื้อกระเป๋าให้เขาได้มั้ย ผมว่าผมไม่ซื้อกระเป๋าให้เขาแน่ ผมกล้าพูดอย่างชัดเจนนะ เพราะว่าถ้าซื้อกระเป๋าให้เขาใบละ 6-7 หมื่น ผมซื้อไปผมไม่รู้ว่ารุ่นนี้เขาอยากได้หรือเปล่า ถ้าเขาไม่ชอบขึ้นมาทำยังไง แต่ถ้าเครื่องประดับอย่างที่เรารู้สไตล์นี้เขาชอบแน่นอน อย่างนี้ซื้อให้ได้”

ถึงกับแปลกใจที่ทำไมทุกคนสนใจเรื่องเซ็กส์ของตนกับหมออ้อย ก่อนตอกกลับแบบติดตลก เรามีเซ็กส์เหมือนคนทั่วไป ยังไม่เคยตีลังกาแล้วมีเซ็กส์กันเลยสักครั้ง
“ผมคิดว่าเรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องของคนปกติทั่วไป ผมเป็นคนนึงที่มีเซ็กส์ ทุกคนในโลกนี้ก็เป็นคนนึงที่มีเซ็กส์ ถามว่าเซ็กส์เก่งหรือไม่เก่งวัดกันตรงไหน มันเป็นความพึงพอใจของแต่ละคน ถ้าสมมติผมชอบผู้หญิงคนนึง เวลามีอะไรด้วยแล้วไม่ร้องเลย เงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงลมหายใจ ผู้ชายอีกคนอาจจะไม่ชอบก็ได้ อาจจะบอกผู้หญิงเซ็กส์ไม่ดีก็ได้ ในขณะที่ผู้ชายคนนี้ชอบผู้หญิงที่โห่ร้องจะร้องไปไหน เสียวอะไรนักหนาเนี่ย อีกคนชอบร้องครวญคราง ในขณะที่เรามาเจอแล้วว่าเออไม่ใช่เซ็กส์ที่ตรงกับเรา”

“เรื่องของเซ็กส์เป็นเรื่องที่เราตรงกันพอดีและเพียงพอ มีนักข่าวถามเยอะ เพราะเห็นว่าเราจัดรายการเซ็กส์ด้วยกัน ก่อนหน้านี้เขา(หมออ้อย)ก็ให้ข่าวไปว่าไม่จำเป็นต้องมีโซ่แซ่ กุญแจมือ ก็เป็นข่าวที่เขียนเล่นๆ ไป สนุกๆ ผมก็รู้ว่าคงอยากหาประเด็นเล่นกัน ก็เลยมีการโยงเข้ามาเรื่องนี้ แล้วที่เขา(หมออ้อย)บอกว่าผมไม่ได้เก่งเรื่องเซ็กส์ ผมก็ไม่รู้ว่าผมเก่งเรื่องเซ็กส์หรือเปล่า ผมไม่รู้เหมือนกัน ถ้าใครอยากรู้ต้องลอง ถ้าใครอยากรู้ลองส่ง sms มานะ แล้วเราจะร่วมพิสูจน์พร้อมๆ กัน(หัวเราะร่วน)”

“ชีวิตคู่กับเรื่องเซ็กส์ต้องแยกนะ อย่างชีวิตคู่เราบอกตั้งแต่แรกแล้ว ว่าเราปรับเข้าหากันได้ แต่เรื่องเซ็กส์เนี่ยเราก็ไม่ได้ปรับตัวนะ อยู่ด้วยกันมีเซ็กส์พื้นฐานเหมือนคนทั่วไป เรายังไม่เคยลองตีลังกาแล้วมีเซ็กส์กัน เรายังไม่เคยกระโดดบันจี้จัมพ์แล้วมาประกบกันพอดีปั้บเลย เรามีเซ็กส์เหมือนคนทั่วไปปกติ ถ้าให้เจาะจงรายละเอียดเดี๋ยวมันจะมี ฉ แปะ(จัดเรท)”

ยอมรับ ถึงเรื่องเซ็กส์จะไม่ใช่เรื่องสำคัญของชีวิต แต่ก็ขาดมันไม่ได้ ส่วนเรื่องที่มีคนอยากรู้ว่า นิกกี้ พริ้ม ยัง 9 นิ้ว แล้วมิกกี้แบดบอย 11 นิ้วจริงหรือเปล่า เจ้าตัวบอกว่า ถ้ายาวขนาดนั้นคงใช้สอยมะม่วงที่บ้านแล้ว พร้อมยัน หมออ้อยยอมแต่งงานด้วยเพราะรักไม่ใช่เพราะติดเซ็กส์ตน
“เรื่องเซ็กส์ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญของชีวิตผม แต่ผมไม่สามารถขาดเซ็กส์ได้ นี่เป็นพื้นฐานปัจจัยของชีวิต ด้วยโครงสร้างของมนุษย์สร้างมาให้มนุษย์สืบพันธ์ ถ้ามนุษย์สืบพันธ์จะเกิดอะไรหลายๆ อย่างตามมา ฮอร์โมนคุณจะผิด สิวคุณจะขึ้น นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าคุณต้องมีเซ็กส์นะ พระเจ้าไม่ได้บอกว้า มิกกี้คุณจะต้องมีเซ็กส์วันละ 4 ครั้ง คุณถึงจะมีร่างกายที่สมดุลและปกติ พระเจ้าให้โอกาสทุกคนกับความสมดุลของร่างกายตนเอง คุณจะรู้ความต้องการของคุณเองว่าคุณจะมีเซ็กส์ประมาณไหน ซึ่งเราตรงกันเรื่องนี้”

“หลายๆ คนนึกว่าผมเก่งมาก ช่ำชองมาก อันนี้หลายๆ คนอยากรู้ นิกกี้ พิ้มพ์ 9 นิ้ว แล้วมิกกี้แบดบอยจะ 11 นิ้วหรือเปล่า ถ้ายาวขนาดนั้นผมสอยมะม่วงกินที่บ้าน โดยไม่ต้องใช้ตะขอแล้ว ถามว่าผมใหญ่เหมือนนิกกี้ พิ้มพ์ไหม อันนี้ไม่สามารถบอกได้ เดี๋ยววันไหนแล้วผมจะโชว์ให้ดู(พูดติดตลกแกมประชด) ผมเป็นคนที่มีเซ็กส์ปกติ หลายๆ คนคิดว่าหมออ้อยติดเซ็กส์หรือเปล่า ติดเซ็กส์ผมหรือเปล่า ผมบอกเลยว่าผมเป็นคนที่มีเซ็กส์ปกติ ถ้าอยากรู้เก่งหรือไม่เก่ง ใครอยากรู้ต้องจับแข่งขันเซ็กส์นานาชาติ แล้วผมจะไปเป็นหนึ่งที่แข่งในนั้นจะได้รู้อันดับของตัวเอง ตีกอล์ฟยังมีอันดับ 1 ไทเกอร์ วูด เทนนิสยังมี แต่เรื่องเซ็กส์ยังไม่มีใครจัดอันดับ อันนี้คุยไม่ได้ คุยไปว่าโม้กันหรือเปล่า เดี๋ยวรอให้มีเทศกาลเซ็กส์นานาชาติ ผมจะไปลงสมัคร จะได้เปิดเผยไปเลยว่าเก่งหรือไม่เก่ง(หัวเราะ)”

“เราแฮปปี้ครับ อยู่ด้วยกันมีความสุข วันๆ ไม่ใช่มานั่งสะกิดกันมีเซ็กส์อย่างเดียว มีเรื่องอื่น เรื่องงาน เรื่องธุรกิจให้เราคิด คือมันเป็นส่วนหนึ่งที่ผ่อนคลายแล้วทำให้คุณอบอุ่นในชีวิตคู่เท่านั้นเอง”

เจ้าตัวทำใจ คนส่วนใหญ่คงติดภาพการเป็นพิธีกรรายการเซ็กส์ ก็เลยอาจจะทำให้คิดว่าตนหมกมุ่นเรื่องนี้ พร้อมเผย หมออ้อยเองก็ไม่ใช่คนช่ำชองเรื่องเซ็กส์อย่างที่คนภายนอกเข้าใจ
“ผมว่าถ้าใครดูบุคลิกของผมจากรายการนี้ บุคลิกของผมจะดูเป็นคนแบดบอย ผมเป็นคนช่ำชองในเรื่องเซ็กส์มาก ในการตอบคำถาม ในเรื่องการพูดผลิตภัณฑ์สินค้าต่างๆ พูดเกี่ยวกับเพศ ค่อนข้างพูดได้ตรง ค่อนข้างพูดได้เยอะ หลายๆ คนจึงคิดว่า โอ้โห นิกกี้ต้องสุดยอดมากเลย อย่างในรายการมีการพูดถึง 108 ท่า พออ่านมาเป็นเนื้อหามาเลย แล้วพิธีกรในรายการ อย่างหมออ้อยก็ไม่ทำท่าให้ดูเนื่องจากเป็นผู้หญิงมันน่าเกลียด พิธีกรอีกคนเป็นผู้ชายอันนี้ขายหล่อ หน้าแหลม เป็นแม่มดอย่างเดียวไม่ทำอะไร ด้วยความที่เราทำให้ดูได้ มิชชั่นนารีอย่างนี้นะครับ เราอธิบายท่านี้เป็นอย่างนี้นะ”

“ถามว่า 108 ท่า ผมเอาไปใช้ทุกท่าหรือเปล่า บ้าไปแล้ว ผมคนนะครับ ไม่ใช่อึงอ่างไปนั่งหมุน ไปนั่งเล่นอยู่ 108 ท่า ตายสิครับ เขาเลยมองแต่ภาพอย่างนี้ หลายๆ คนดูว่ามิกกี้เป็นผู้ชายธรรมดา ทำไมหมออ้อยกล้าที่จะมาแต่งงานด้วย คนหล่อกว่านี้ พระเอก หรือคนรวยกว่านี้ตั้งเยอะตั้งแยะ ซึ่งเขาสามารถหาได้ เขาติดอะไรวะ ติดเซ็กส์ไอ้นี้แน่เลย ดูแล้วหลายคนเลยคิดไปอย่างนี้ คิดด้านนี้มากกว่า”

“แล้วเขา(หมออ้อย)ไม่ได้เป็นคนที่ชำนาญ หรือช่ำชองเรื่องเซ็กส์ เนื่องจากแต่ก่อนเขาจัดรายการ ไนท์วาไรตี้ ก่อนที่จะเป็น เซ็กส์ตี้ไนท์ ด้วยความที่เซ็กซี่ แล้วรายการมีเรื่องของปัญหาเพศ ในเรื่องของเซ็กส์ มันเลยเป็นปริยายเลยว่า ถ้าอย่างนี้หมออ้อยต้องรู้เรื่องเซ็กส์ทุกอย่างสิ คนที่เขาดูอยู่ทางบ้านเขาไม่รู้นี่ว่าเบื้องหลังเป็นยังไง เราต้องอ่านสคลิปนะ อันนี้ต้องพูดอย่างนี้นะ อันนี้เป็นข้อมูลที่โปรดิวเซอร์ เป็นข้อมูลที่ทางรายการทำให้เรา ถามว่าบางเรื่องเป็นเรื่องที่เรารู้อยู่แล้วไหม มันเป็นเรื่องที่เราไม่รู้หรอก เป็นเรื่องที่โปรดิวเซอร์ต้องการที่จะถ่ายทอดให้ดู ผ่านเราเท่านั้นเอง”

แต่ก็ยอมรับแบบไม่เคอะเขินว่า มีการเอาเทคนิคในรายการไปทดลองใช้ในชีวิตจริง
“มีครับ มีแน่นอน เนื่องจากว่าเป็นรายการสดแล้ววาไรตี้ บางทีเราจะมีการหาขอมูลต่างๆ สมมติว่า 10 เรื่องที่คุณไม่สมควรที่จะบอกให้แฟนใหม่ของคุณได้รู้เลย เราก็จะอ่านให้คุณผู้ชมฟัง มีคุยมีเล่น อ่านๆ เออ ซึ่งเรามองย้อนกลับมามองตัวเรา มีบ้างไหมว่ะ ที่ทำตามจุดนี้ แล้วจุดไหนยังไมได้ทำบ้าง ลองสักหน่อยมันไม่เสียหาย มีนะ หรือว่าประสบการณ์เรื่องเซ็กส์ของตัวเอง คนดูทางบ้านมีโทรมาถาม พี่ค่ะเนี่ยแฟนหนูมันเป็นอย่างนี้ มาถึงมันพรวดๆ เลยพี่ว่าไง อย่างบางทีอยู่ดีไม่ว่าดีของหนูก็มีทำไมมาขอตรงตูดหนูคะพี่ เราก็ในฐานะเป็นผู้ชาย เราสามารถบอกได้ว่าเป็นอย่างนี้ เขาอยากลองเล่นๆ เฉยๆ หรือเปล่า หรือถ้าเราไม่ชอบจริงๆ ก็บอกเขา ซึ่งมันก็มีส่วนในชีวิตของเราที่มาพูดในรายการได้เช่นเดียวกัน”

บอก เรื่องเซ็กส์เข้ากันได้ไม่มีปัญหา แต่เรื่องความคิดค่อนข้างแตกต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องความเป็นสาวมั่นเกินร้อยของภรรยา จนต้องปรามให้น้อยลงหน่อย
“เขาเป็นคนที่มีความคิดมั่นใจมาก เขาเซลฟ์กับความคิดของเขามาก บางที่ความเซลฟ์ของเขาเนี่ย คือเขาเป็นดารา เราไม่ใช่ดารานะ เราต้องเซลฟ์ไปไหมเนี่ย เซลฟ์ไปหรือเปล่า บางทีแค่เรื่องนี้เองนะ แต่ด้วยความที่เขาเป็นดาราเขาเซลฟ์ของเขาได้ แต่เราเป็นสามัญชนคนเดินดินปกติ เราไม่เคยที่จะเซลฟ์มากขนาดนั้น อันนี้เป็นเรื่องที่ เฮ้ย ตัวเอง(สรรพนามเรียกหมออ้อย)เซลฟ์ไปหรือเปล่า เราก็คุยกัน”

“ถ้าผมครางแคลงใจอะไรอยู่ ผมคุยแน่นอน เพราะมันจะทำให้เราปรับเข้ากันได้ มันจะไม่ใช่การไปประกาศให้สังคมได้รู้ว่าเราจะแต่งงานกันแล้วนะ เพื่อที่จะให้สังคมรุมด่าเขา ด่าผมไม่เป็นไรหรอก ไม่มีใครรู้จักผมอยู่แล้ว ผมชิลๆ ด่าเขาผมสงสารเขา สำหรับคนที่เป็นแพะมานานแล้ว ที่เขาจะต้องมานั่งเสียใจอยู่ เขาไม่ได้เซลฟ์ทุกเรื่องอย่างที่ข่าวออกมา”

ลั่น ถึงหมออ้อยจะเคยแต่งงานมาก่อน แต่การที่ฝ่ายหญิงเรียกสินสอดสูงกว่า 10 ล้าน ก็เต็มใจให้ แถมประกาศชัดต่อให้เรียกเป็นร้อยล้านก็จะให้
“ถามว่าเยอะไหม ไม่นะ ถ้าเขาบอก 6 ล้าน หรือ 7 ล้าน ยังธรรมดา คือมันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่เขาเห็นตรงกันมากกว่า ถ้าอยู่ดีๆ ผมบอก แม่ครับเรียก 5 ล้านเลยหรอ ผมมีบัตรอยู่ลดได้สัก 10 เปอร์เซ็นต์ได้ไหมครับ มันคนไม่ใช่เป็ดย่างนะ น่าเกลียด ไม่ใช่ว่าแม่ครับผมขอดาวน์ก่อน 2 ล้าน แล้วเดี๋ยวแม่ให้ผ่อนเท่าไหร่ ดอกเบี้ยลอยตัวหรือคงที่ แม่บอกมาเลย มันน่าเกลียด ผู้ใหญ่เขามีแนวความคิดว่านี่คือสังคมครอบครัวเขารับได้ ถามว่า 5 ล้านผู้ใหญ่เขาเอาไหม เขาไม่เอาหรอก เขาคงให้เราเป็นในเรื่องของสร้างหลักฐานครอบครัวมากกว่า”

“สำหรับสินสอด ตัวผมโอเคครับ ถ้าบอกว่าร้อยล้าน ถึงผมไม่มี ผมก็จะทำให้สมเกียร์ติของเขา สำหรับเงินร้อยล้าน สามารถทำได้”

ส่วนเรื่องจดทะเบียนสมรส เจ้าตัวเผยหมออยากจด แต่ตนยังไม่ตัดสินใจเพราะไม่อยากเอาเปรียบ เนื่องจากฝ่ายหญิงมีทรัพย์สินมากกว่า
“เรื่องจดทะเบียนเนี่ย ด้วยความที่เขาก็บอกว่าอยากจด แต่เราก็ไม่อยากที่จะเอาเปรียบเขา ทรัพย์สินเขาอาจจะมีสัก 10 ล้าน ผมอาจจะมีแค่ครึ่งนึง 5 ล้าน ผมกลัวว่ามันจะเป็นปัญหา ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรานะ แต่ปัญหาสำหรับคนที่มอง ผู้ใหญ่ที่มองว่ามันจะมีปัญหาในจุดๆ นี้ไหม เราไม่อยากเอาเปรียบเขา เขาอยากจดนะ แต่เราไม่อยากที่จะให้ขอกฎหมายมาบีบบังคับทรัพย์สินต่างๆ ที่จะทำให้เขาเสียเปรียบเราไปหรือเปล่า เราไม่อยากเอาเปรียบเขาในเรื่องนี้ (ตัดสินใจยัง?) ยังไม่ตัดสินใจครับ แล้วแต่เขาแล้วกัน ว่าเขาจะคิดยังไง แต่เขาก็อยากจด เพราะนามสกุลเรามันดัง ใครก็อยากใช้ ชอบชื่น(หัวเราะขำตัวเอง)”

เผย ยังไม่เคยผ่านการแต่งงานมาก่อน ครั้งนี้จึงเกิดจากความพร้อมอย่างเต็มที่ ตั้งใจอยากมีลูกเลย
“ผมยังไม่เคยแต่งงานครับ นี่ครั้งแรกที่เปิดตัวสุดๆ แต่ว่าผ่านครั้งแรกไปครั้งที่สองคงจะเพลิน(พูดแล้วก็ขำตัวเอง) ที่จริงผมพร้อมที่จะแต่งงานมาหลายปีแล้วนะ แต่ผมไม่สามารถหาผู้หญิงที่ดีๆ ที่เข้ากับรูปแบบชีวิตของผมได้ แล้วผมไม่สามารถที่จะหาผู้หญิงที่สามารถเข้ากับสังคม ครอบครัวผมได้ แต่แล้วก็เจอ ผมเตรียมตัวเตรียมใจที่จะเสียตัวมานานหลายปีแล้ว โอกาสนี้เหมาะสำหรับผมแล้ว ช่วยมาเป็นสักขีพยานในการเสียตัวของผมด้วยนะครับ(หัวเราะ)”

“ผมอยากแต่งงาน อยากมีลูกมานานแล้ว ด้วยเพื่อนๆ ที่มีลูกด้วย แล้วในชีวิตของผม ผมอยากดูแล คือพ่อแม่สอนผมมาตั้งแต่เด็กๆ มุมมองความคิดบางอย่างเขาอาบน้ำร้อนมาก่อน เราต้องเชื่อถือ แต่มุมมองความคิดของผม ผมคิดว่าถ้ามีลูกสักคน ผมอยากจะสอนลูกในมุมของผม คือไม่จำเป็นต้องเอาความคิดสมัยเก่าอย่างเดียว คุณรับรู้ทั้งสองอย่างว่า เก่าคิดอย่างนี้ ใหม่คิดอย่างนี้ คุณรู้ข้อดีของเก่า คุณรู้ข้อเสียของใหม่ คุณสามารถนำสองอย่างนี้มาผสมใช้ด้วยกันได้ ว่าคุณต้องทำยังไง ผมอยากจะสอนลูกผมตรงนี้”

“ผมอยากมีลูกตั้งนานแล้ว แต่หาแม่ของลูกไม่ได้ จะเลี้ยงหมามันก็ขี้ไม่เป็นทาง ขี้เกียจเช็ด เพิ่งปล่อยมาประมาณเกือบ 2 อาทิตย์ หลายๆ คนคิดว่าที่ออกมาแต่งงานนี้ท้อง ท้องก่อนแต่ง แต่งปุ๊บท้องปั๊บ แต่ตอนนี้ยังไม่ท้องแน่นอน ตอนนี้ยังไม่ท้องครับ แต่อยากมากที่จะให้ท้อง”

บอก ถึงภรรยาจะอายุมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกกังวลเรื่องจะมีลูกยากหรือลูกไม่แข็งแรง เพราะเชื่อมั่นในนวัตกรรมทางการแพทย์ เช่นเดียวกันกับหมออ้อยที่ไปกลัวเรื่องท้องจะลายมากกว่า
“ไม่กังวลครับ ถ้าสมมติเราเป็นไปตามวิธีทางธรรมชาติไม่ได้ ในตอนนี้ทางการแพทย์มีนวัตกรรมต่างๆ เยอะแยะมากมาย สามารถช่วยได้ เขาห่วงอย่างเดียว ไม่ได้ห่วงว่าจะมียากหรือไม่ยาก แต่เขากลัวเขาจะไม่สวย กลัวท้องเขาลาย ผมได้ปลอบประโลมว่าไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวทาครีมให้ทุกวันเลย (แต่ไม่ถึงกับห่วงสวยจนไม่อยากมีลูกใช่มั้ย?) ไม่ครับ เรื่องมีลูกเขาโอเค แต่เขาจะบ่นมีลูกก็ไม่สวย ตูดก็ใหญ่ ท้องก็ลาย เราได้ปลอบประโลมว่า เดี๋ยวทาครีมให้ทุกวันเลย เดี๋ยวพาไปฟิตเนส ออกไปวิ่งทุกวัน เพื่อให้เขาสบายใจ”

นอกจากจะถูกจับตามองเรื่องข่าวแต่งงานแล้ว ล่าสุดหมออ้อยยังถูกเม้าท์สะนั่นว่าเมคอายุตัวเอง หลังออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเองเพิ่งอายุ 38 และห่างกับมิกกี้เพียง 5 ปีเท่านั้น ทั้งที่จริงๆ อายุสี่สิบกว่าแล้วนั้น จนหลายคนมองว่างานนี้หนุ่มมิกกี้โดยหลอกหรือเปล่า ครั้นพอสอบถามเกี่ยวกับประเด็นนี้ เจ้าตัวบอกน้ำเสียงหนักแน่นว่า ถึงความจริงหมออ้อยจะอายุเท่าไหร่ แต่อายุเราสองคนก็ยังจะห่างกันแค่ 5 ปี เพราะสิ่งที่จะเหนี่ยวรั้งชีวิตคู่คือความรู้สึก ไม่ใช่สังขาร
“เรื่องว่าเขาอายุมากกว่านั้น เอาอย่างนี้ดีกว่า ไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไหร่ อายุเราสองคนห่างกัน 5 ปี (ก็คือไม่สนใจ ขอคิดแค่นี้?) ครับ เราห่างกัน 5 ปี แล้วความคิดของเราเข้ากันได้ดี”

“ในเรื่องของอายุนะ ถ้าให้ผมมอง สิ่งที่จะตามมาเป็นปัญหาเรื่องอายุ คือเรื่องของสังขารหรือว่าร่างกาย สังขารที่จะเป็นไปตามวัยมากกว่า ผมคบกับเขา บอกเขาเสมอว่าตัวเองไม่ต้องกินยาตะขาบ ไม่ต้องมาเป็นสาวสองพันปี ไม่ต้องมาสตาฟร่างกายรูปร่างหน้าตาของตัวเองไว้ สิ่งที่เขาอยากให้ตัวเองสตาฟไว้อย่างเดียวคือความรู้สึกในตอนนี้ คือความเข้าใจในตอนนี้ ไม่ใช่รูปร่างหน้าตาของตัวเองที่สาวอยู่ตลอดเวลา เรื่องนี้ไม่ได้ซีเรียสเลย แต่ขออย่างเดียวเท่านั้นที่เวลาตัวเองแก่แล้ว ตัวเองห้ามทำนั่นก็คือทำผมตีโป่ง เป็นเรื่องเดียวที่รับไม่ได้เท่านั้นขอร้อง ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ จะกินหมาก เรายังจะถือกระป๋องบ้วนน้ำหมากไว้ให้เลย จะฟันล่วงฟันหัก ฟันหลอ เราอยู่ด้วยกันได้ ขอแค่อย่าตีโป่งเป็นรังนกขึ้นมาเท่านั้น จะสั่งกระเป๋าน้ำหมากของหลุยส์วิตตองให้เลย สบายมาก”

ส่วนเรื่องเซ็กซี่ก็ไม่ห้าม เพราะมั่นใจภรรยาไม่ได้โป๊เรี่ยราด ไฟเขียวให้เซ็กซี่ได้เต็มที่แต่ต้องรู้จักเซฟตัวเอง
“เรื่องเซ็กซี่ไม่ห้ามครับ เขาเป็นคนที่รู้กาลเทศะ เขารู้ว่าไปงานนี้แต่งตัวอย่างนี้ เจอผู้ใหญ่แต่งตัวอย่างนี้ ทำงานอย่างนี้ มีแค่แบบว่าห้ามใส่กระโปรงสั้น ถ้าใส่สั้นช่วยใส่กางเกงซับในให้หน่อย ด้วยคนเราทุกคนเวลาผู้หญิงแต่งตัวโป๊ แต่งตัวสั้นๆ เนี่ย มันห้ามไม่ได้ที่เราจะมอง ก็ใส่มาให้มองนี้หว่า ต้องมอง แต่คนเรามีมองหลายอย่าง มองสวย มองหื่น บางคนมองทุเรศอ่ะ มองเหมือนจะเข้าไปในตูด”

“แล้วบางทีไปกับเรา เราไม่ได้หวงเขานะ เรารักของเรา เขาเป็นอันตรายมีอะไรหรือเปล่า เราเป็นคนที่ต้องเข้าไปปกป้อง ถามว่าเราอยากจะมีเรื่องกับไอโรคจิตนี้ไหม เราไม่อยากมีเรื่องหรอก แต่จุดที่จะต้องปกป้องสิทธิของแฟนเราก็ต้องทำ เลยบอกให้เขาเซฟตัวเอง บางทีที่ใส่สั้นมากๆ เซฟตัวเองนิดนึง เขาไม่ใช่ห่วงที่คนอื่นจะมองนะ แต่เขากลัวว่าภาพที่ออกไปคนจะมองกลายเป็นอนาจาร กลัวจะมองเป็นอย่างอื่นไป แล้วผลลัพธ์ที่ตามมา เราต้องเข้าไปปกป้อง แล้วรูปแบบของตัวเราเราไม่ใช่เข้าไปหาผู้ชายแล้วพูดว่า พี่ครับมองตูดแฟนผมทำไม(ยกมือไหว้) พี่มองระวังนิดนึงได้ไหม มันไม่ใช่อย่างนี้”

“บางคนเข้ามาลวนลาม แล้วเราจะ…ขอประธานโทษนะ พี่จับนมแฟนผมไม่ได้นะ มันไม่ใช่ อย่างน้อยการเข้าไปมันต้องมีการกระทบกระทั่งเรื่องวาจา ถ้าวาจาไม่รู้เรื่อง มันต้องมีการกระทบกระทั่งด้วยอย่างอื่น กลายเป็นสิ่งที่ไม่ดี นอกจากสิ่งที่จะต้องดูแลตัวเองแล้ว ตัวเองก็จะไม่มีอันตราย ไม่มีภัยเข้ามาหาตัวเองเอง ในขณะที่ถ้าเราไม่ไปกับเขา ใครจะมาคอยปกป้องเขา มีแต่คนมอง คนหื่นเข้ามาตลอดเวลา เพียงแค่จุดนี้เท่านั้นเองที่เราอยากให้เขามีความปลอดภัยเวลาเขาอยู่คนเดียว”

ก่อนหน้านี้หมออ้อยเคยประกาศว่าจะไม่ถ่ายนู้ดอีกแล้ว แต่ถ้าจะถ่ายอยากถ่ายคู่กับสามีมิกกี้เท่านั้น ถามเรื่องนี้กับหนุ่มมิกกี้ เจ้าตัวรีบปฏิเสธบอกไม่มั่นใจ บอกหน้าเหมือนคางคก แถมก้นยังเป็นสิว แต่ถ้าเจ้าของหนังสือยอมจ่ายหนักก็อาจจะเปลี่ยนใจ
“หน้าผมยังกะคางคกเนี่ยนะ (หมออ้อยบอกบอดี้เราสวย?) ก็บอดี้สวย ให้ผมถ่ายบอดี้ แล้วตัดหัวผมทิ้งมันก็น่าเกลียดไป ผมสงสารหนังสือเขา ผมขายไม่ได้หรอก เก็บไว้ให้คนอื่นได้ลงเหอะ (อันนี้คือปฏิเสธใช่ไหม?) ใช่ครับ อย่ามาเจ๊งเพราะผมเลย ลูกน้องเขาจะไม่มีกินเพราะผม”

จะมีเหตุผลอื่นไหมที่จะทำให้เราเปลี่ยนใจยอมถ่าย?
“คือผมทำงานแลกเงิน อะไรที่ทำงานแล้วได้เงิน แล้วไม่เดือดร้อนใคร ผมทำนะ ถามว่าถ้ามาจ้างผมถ่ายหนังสือ ผมถ่ายให้ไหม ผมถ่ายให้ได้นะ ถ้าคุณไม่กลัวเจ๊ง ถ่ายให้ได้แน่นอน ถ้าได้ตังค์ ผมถ่ายให้ (ลิมิต?) ถอดเสื้อได้ครับ แต่ถอดกางเกง ตูดเป็นสิว คนรีทัชมันจะอ้วกแตกน่ะสิ หัวหนองเชียว(หัวเราะ)”

สุดท้ายเจ้าตัวได้เผยถึงรูปแบบชีวิตคู่ที่วางไว้ว่า…
“คือผมไม่ได้คาดหวังว่าหลังการแต่งงานของผมจะต้องสวยหรู เราจะต้ออยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แน่นอนทุกคนที่แต่งงาน ทุกคนที่มีชีวิตคู่ร่วมกันจะต้องมีอุปสรรค ย่อมมีเรื่องให้คนสองคนจากเข้าใจกัน เป็นคลางแคลงใจกัน อันนี้ผมไม่สามารถคาดหวังว่าชีวิตต่อไปในภายภาคหน้าของผมจะมีความสุข ราบเรียบ ผมแค่อยากขอให้ชีวิตในภายภาคหน้าของผม มันเป็นไปเหมือนตอนนี้ ทั้งความรู้สึกของเขาและความรู้สึกของผม”

“ทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน ผมจะบอกเขาว่า เรากลับไปดูในภาพวันแรกที่ก่อนจะตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน ตัดสินใจที่จะลองศึกษาชีวิตของกันและกัน ว่าจุดไหนที่ทำให้เราตัดสินใจในวันนี้ เรามีความรู้สึกต่อกันแค่ไหน และที่สำคัญคือเรื่องของทิฐิ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด คนที่เรารักเราง้อเขาไม่เสียฟอร์มนะ มันไม่ต้องมีศักดิ์ศรีกับคนที่เรารัก มันจบแค่คนที่เรารัก ง้อยังไงก็ไม่เสียฟอร์มหรอก ง้อจนอายแต่ไม่ดีก็เรื่องของมึงดิ๊ จะง้อให้อายไปเลยให้เบื่อเลย เดี๋ยวก็ดี แค่นี้เอง”


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 มิถุนายน 2553 13:12 น.


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ยาวไปค๊ะ สั่นๆได้มะ สรุป น้ำล้วนๆ


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
อะไรของแกนังเจซเซย์


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
สื่อก็ไปถามเค้าแต่เรื่อง sex นะคะ แล้วคนก็ด่าเค้าว่าแรงทั้งๆที่สื่อก็ถามแต่เรื่องนี้ตลอด

หนูรักหมออ้อยค่ะ


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว MSN Messenger
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ค๊ะ อิสิงคนนี้ก็พูดเเรงจิงอะไรจิงคือพูดตรงๆนะค๊ะ เพราะมันตอบตรงสื่อเลยชอบ ทำไม่ไม่ไปทำข่าวตอนมันเย็ดกันเลยละค๊ะ อิดรวก


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
อ่านจบแล้วนะ เราเก่งแมะ


_________________

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ส่ง Email ชมเว็บส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
เจซซ๊่ ,,
ยาวไปคร๊ะ



_________________


#WorkBitch

ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ชมเว็บส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
ใครจะบ้ามานั่งอ่าน ไม่ใช่คนโด่งดังอะไร แค่คนฉาว


_________________
........
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว
ตอบโดยอ้างข้อความ
ตอบ  
Lil' Mai พิมพ์ว่า:
สื่อก็ไปถามเค้าแต่เรื่อง sex นะคะ แล้วคนก็ด่าเค้าว่าแรงทั้งๆที่สื่อก็ถามแต่เรื่องนี้ตลอด

หนูรักหมออ้อยค่ะ
ASTV


_________________
ดูข้อมูลส่วนตัว ส่งข้อความส่วนตัว ตำแหน่ง AIM MSN Messenger หมายเลข ICQ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
ตอบ หน้า 1 จาก 2
ไปที่หน้า 1, 2  ถัดไป
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
  


copyright : forwardmag.com - contact : forwardmag@yahoo.com, forwardmag@gmail.com